อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศสเปน
เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสเปน
มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
ขอบข่ายด้านบุคคล
อนุสัญญานี้จะใช้บังคับกับบุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือทั้งสองรัฐ
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย
1. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้ที่ตั้งบังคับในนามของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของแต่ละรัฐโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่บังคับจัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายจ่ายโอนสังการิมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนที่จ่ายโดยวิสาหกิจตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าทุน ให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้
3. ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับ โดยเฉพาะได้แก่
(ก) ในกรณีประเทศไทย
- ภาษีเงินได้ และ
- ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(ซึ่งต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")
(ข) ในกรณีของประเทศสเปน
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ซึ่งต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีสเปน")
4. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีใด ๆ ที่เหมือนกันหรือมีสาระสำคัญคล้ายคลึงกันซึ่งบังคับจัดเก็บเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน หลังวันที่ลงนามกันในอนุสัญญานี้แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะแจ้งแก่กันและกันให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ
บทนิยามทั่วไป
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่าอื่น
(ก) คำว่า "ประเทศสเปน" หมายถึงราชอาณาจักรสเปน และเมื่อใช้ในความหมายทางภูมิศาสตร์ หมายถึงอาณาเขตของราชอาณาจักรสเปน รวมทั้งพื้นที่ใดที่อยู่นอกทะเลอาณาเขตซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายท้องถิ่น ราชอาณาจักรสเปนอาจใช้สิทธิได้ทางศาลหรืออธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเล ดินใต้พื้นดินและพื้นน้ำที่ติดต่อกันและทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกันนั้น
(ข) คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและรวมถึงพื้นที่ใด ๆ ที่ประชิดติดกับทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยรวมทั้ง พื้นดินท้องทะเล ดินใต้พื้นดินซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิได้ตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศ
(ค) คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง " หมายถึงประเทศไทย หรือประเทศสเปนแล้วแต่บริบทจะกำหนด
(ง) คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา บริษัทและคณะบุคคลอื่นใด
(จ) คำว่า "บริษัท" หมายถึงนิติบุคคลหรือหน่วยใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคลเพื่อมุ่งประสงค์ในทางภาษี
(ฉ) คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง"หมายถึง วิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ
(ช) คำว่า "ภาษี"หมายถึง ภาษีไทยหรือภาษีสเปน ตามที่บริบทจะกำหนด
(ซ) คำว่า "คนชาติ" หมายถึง
(1) บุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(2) นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคมใด และหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับสถานภาพเช่นนั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(ฌ) คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใด ๆ ทางเรือหรือทางอากาศยานซึ่ง ดำเนินการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นกรณีที่มีการดำเนินการเดินเรือหรืออากาศยานระหว่างสถานที่ต่างๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น และ
(ญ) คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึงในกรณีประเทศสเปน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ และในกรณีของประเทศไทยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
2. ในการใช้บังบังคับอนุสัญญาโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใดที่มิได้นิยามไว้ในอนุสัญญาจะมีความหมายตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญานั้นเกี่ยวกับภาษีที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับ เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ผู้มีถิ่นที่อยู่
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใดซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจดทะเบียนบริษัทสถานจัดการ หรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่คำนี้จะไม่รวมถึงบุคคลใดๆ ผู้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีในรัฐนั้นเพียงเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งในรัฐนั้น
2. ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้
(ก) ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งตนมีที่อยู่ถาวร ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่ถาวรในทั้งสองรัฐให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)
(ข) ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้หรือถ้าบุคคลธรรมดานั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย
(ค) ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐหรือไม่มีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนเป็นคนชาติ
(ง) ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของทั้งสองรัฐ หรือมิได้เป็นคนชาติของทั้งสองรัฐให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
3. ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลใดที่มิใช่บุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
สถานประกอบการถาวร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือบางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" จะรวมถึงโดยเฉพาะ
(ก) สถานจัดการ
(ข) สาขา
(ค) สำนักงาน
(ง) โรงงาน
(จ) โรงช่าง
(ฉ) เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อแก๊ส เหมืองหิน หรือแหล่งขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติใดๆ
(ช) ที่ทำการเพาะปลูกหรือไร่สวน
3. (ก) คำว่า "สถานประกอบการถาวร" ให้รวมถึงที่ตั้งอาคาร โครงการก่อสร้าง โครงการติดตั้ง หรือโครงการประกอบหรือกิจกรรมตรวจควบคุมเกี่ยวกับการนั้น ซึ่งที่ตั้งนั้น โครงการหรือกิจกรรมต่างๆ มีอยู่ติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินกว่าหกเดือน
(ข) การจัดให้มีการบริการ รวมถึงบริการให้คำปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึงรัฐใดโดยผ่านทางลูกจ้างหรือบุคลากรอื่น ซึ่งกิจกรรมในลักษณะนั้นดำเนินติดต่อกันสำหรับโครงการเดียวกันหรือโครงการที่เกี่ยวเนื่องภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เป็นระยะเวลาเดียวหรือหลายระยะรวมกันเกินกว่าหกเดือนภายในระยะเวลาสิบสองเดือนใดๆ
4. แม้จะมีบทบัญญัติก่อนๆ ของข้อนี้อยู่คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง
(ก) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา การจัดแสดงสิ่งของ หรือส่งมอบสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ
(ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดง หรือส่งมอบ
(ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ
(ง) การมีสถานธุรกิจประจำเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการตจัดซื้อสิ่งของหรือสินค้าหรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น
(จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา เพื่อเผยแพร่ข้อสนเทศเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบสำหรับวิสาหกิจ
(ฉ) การมีซึ่งสถานที่ประจำชองธุรกิจเพียงเพื่อการกระทำรวมกับในกิตจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่กล่าวแล้วในอนุวรรค (ก) ถึง (จ) โดยมีเงื่อนไขว่ากิจกรรมที่กระทำของสถานประจำเพื่อธุรกิจนั้นมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือการสนับสนุน
5. แม้จะมีบทของวรรค 1, 2 และ 4 อยู่บุคคลหนึ่งนอกไปจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 7 กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะถือว่าวิสาหกิจนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกถ้าบุคคลนั้น
(ก) มีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัย ในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามวิสาหกิจนั้นเว้นไว้แต่ว่า กิจกรรมต่างๆของบุคคลนั้น จำกัดอยู่แต่เพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจ
(ข) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกนั้นซึ่งมูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าที่เป็นของวิสาหกิจและดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือทำการส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นเป็นประจำ หรือ
(ค) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้จัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐแรกนั้น ซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั้นเองหรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
6. แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อนๆ ของบทบัญญัติข้อนี้ วิสาหกิจรับประกันภัยของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหรือยกเว้นเกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อ ให้ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในอีกรัฐหนึ่ง ถ้ามีการเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยในดินแดนของรัฐนั้น หรือรับประกันความเสี่ยงภัยในรัฐนั้นผ่านลูกจ้างหรือผ่านผู้แทนซึ่งมิใช่ตัวแทนที่มีสภานภาพเป็นอิสระในความหมายของวรรค 7 ของข้อนี้
7. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐนั้น โดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไปหรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นกระทำการตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน
8. เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควมคุมหรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น(ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง