เมนูปิด

ข้อ 21

เงินได้อื่นๆ

 

                บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อก่อน ๆ ของอนุสัญญานี้ อาจเก็บภาษีได้ในรัฐที่เงินได้นั้นเกิดขึ้น

 

 

ข้อ 22

การขจัดภาษีซ้อน

 

1.             ในกรณีของประเทศแอฟริกาใต้ ภาษีที่จ่ายโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ ในส่วน ที่เกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในประเทศไทยตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ จะยอมให้หักจากภาษีกฎหมายรัษฎากรแอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตามการหักเช่นว่านั้น จะต้องไม่เกินกว่าจำนวนซึ่งเมื่อเทียบกับภาษีแอฟริกาใต้ทั้งหมดที่พึงชำระเท่ากับอัตราส่วนเดียวกันกับเงินได้ที่เกี่ยวข้องนั้นต่อเงินได้ทั้งหมด

 

2.             ในกรณีของประเทศไทย ภาษีแอฟริกาใต้ที่พึงชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่ได้รับจาก ประเทศแอฟริกาใต้ จะยอมให้ถือเป็นเครดิตต่อภาษีไทยที่พึงชำระ สำหรับเงินได้นั้น อย่างไรก็ตาม เครดิตนั้นจะต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีไทยที่คำนวณไว้ก่อนให้มีการเครดิตดังกล่าวจากรายการเงินได้นั้น

 

3.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งวรรค 1 และ 2 ของข้อนี้ ภาษีที่ชำระในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ให้ถือว่ารวมถึงจำนวนภาษีที่ควรชำระแต่ไม่ได้ชำระ เพราะได้รับยกเว้นหรือลดภาษีตามกฎหมาย เพื่อการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง

 

4.             เงินช่วยเหลือโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือส่วนราชการของรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ใน รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ภายใต้กฎหมายและเพื่อความมุ่งประสงค์ในการส่งเสิรมการพัฒนาเศรษฐกิจในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก จะไม่เก็บภาษีในอีกรัฐหนึ่ง

 

5.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะวางแนวปฏิบัติเกี่ยวกับบทบัญญัติของ วรรค 3 และ 4 ของข้อนี้โดยการตกลงร่วมกัน

 

 

ข้อ 23

การไม่เลือกประติบัติ

 

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษี อากรใด ๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากร และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติของอีกรับหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสีย หรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน บทบัญญัตินี้จะใช้บังคับโดยไม่ต้องคำนึ่งถึงบทบัญญัติของข้อ 1 กับบุคคลผู้ซึ่งไม่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐด้วย

 

2.             ภาษีอากรที่เรียกเก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมี อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะไม่เรียกเก็บในอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่ง ที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน

 

3.             วิสาหกิจของรับผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียวหรือ หลายคนเป็นเจ้าของ หรือควบคุมทุนทั้งหมด หรือแต่บางส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใด ๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดใด ๆ ที่เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรืเป็นภาระหนักกว่าภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงของรัฐแรกนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม

 

4.             บทบัญญัติของข้อนี้ จะไม่แปลความเป็นการผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งต้องให้แก่ผู้มีถิ่น ที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคลการผ่อนผันและการลดเพื่อความมุ่งประสงค์ทางภาษี โดยคำถึงถึงสถานภาพของบุคคลหรือความรับผิดชอบทางครอบครัว ซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

5.             ในข้อนี้ คำว่า "ภาษีอากร" หมายถึง ภาษีอากรซึ่งอยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้

 

 

ข้อ 24

วิธีการเพื่อความตกลงร่วมกัน

 

1.             ในกรณีที่บุคคลใดพิจารณาเห็นว่า การกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐเดียวหรือทั้งสองรัฐมี ผลหรือจะมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีถิ่นที่อยู่ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการแก้ไขที่บัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของรัฐแต่ละรัฐ หรือถ้ากรณีของบุคคลนั้นอยู่ภายใต้วรรค 1 ของข้อ 24 ก็ให้ยื่นต่อรับผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฎแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควรและถ้าตนไม่สามารถที่ จะหาทางแก้ไขที่น่าพอใจได้เอง เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะต้องพยายามแก้ไขกรณีนั้น โดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อเว้นการเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญนี้

 

3.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ จะพยายามแก้ไขข้อยุ่งยากหรือข้อสงสัย ใด ๆ อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยความตกลงร่วมกัน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจปรึกษาหารือกันเพื่อการขจัดการเก็บภาษีซ้อนในกรณีใด ๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ด้วย

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐอาจติดต่อกันโดยตรง เพื่อความมุ่ง ประสงค์ให้มีการตกลงกันตามความหมายแห่งวรรคก่อน ๆ นั้น เมื่อเห็นเป็นการสมควรที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยวาจาเพื่อให้มีความตกลงกันการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนั้นอาจกระทำโดยผ่านทางคณะบุคคล อันประกอบด้วยผู้แทนของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรับผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ 25

การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ

 

1.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะแลกเปลี่ยนข้อสนเทศอันจำเป็นแก่การ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ หรือของกฎหมายภายในของรัฐผู้ทำสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีอากรในขอบข่ายแห่งอนุสัญญานี้ เท่าที่การเก็บภาษีอากรตามกฎหมายนั้นไม่ขัดกับอนุสัญญานี้ ข้อสนเทศใด ๆ ที่ได้รับโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะถือว่าเป็นความลับเช่นเดียวกันกับข้อสนเทศที่ได้รับภายใต้กฎหมายภายในของรัฐนั้น และจะเปิดเผยได้เฉพาะกับบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ (รวมทั้งศาลและองค์กรบริหาร) ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประเมินหรือการจัดเก็บภาษีอากร การบังคับ หรือการฟ้องร้อง หรือการชี้ขาดอุทธรณ์ในเรื่องภาษีอากรซึ่งอยู่ในบังคับแห่งอนุสัญญานี้ บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้องสนเทศนั้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวเท่านั้น บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจเปิดเผยข้อสนเทศในกระบวนพิจารณาในศาล หรือการวินิจฉัยชี้ขาดของศาล

 

2.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะกำหนดเงื่อนไข วิธีการและเทคนิคที่เหมาะสม โดยการหารือร่วม กันเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศที่จะเกิดขึ้น และหากเหมาะสมรวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศที่เหมาะสมเกี่ยวกับการเลี่ยงภาษี

 

3.             ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม มิให้แปลความว่าบทบัญญัติของวรรค 1 เป็นการตั้งข้อผูกพัน บังคับรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดต้อง

 

                ก)            ดำเนินมาตรการทางการบริหารโดยขัดกับกฎหมาย หรือวิธีปฏิบัติทางการบริหารของรัฐผู้ทำสัญญานั้น หรือรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                ข)            ให้ข้อสนเทศ อันมิอาจจัดหาได้ตามกฎหมายหรือตามทางการบริหารปกติของรัฐนั้น หรือรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                ค)            ให้ข้อสนเทศซึ่งจะเปิดเผยความลับทางการค้า ธุรกิจ อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือวิชาชีพ หรือกรรมวิธีทางการค้า หรือข้อสนเทศ ซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการขัดกับนโยบายสาธารณะ (ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของสาธารณชน)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011