เมนูปิด

               อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
             และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งประเทศแอฟริกาใต้ 
     เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร
                     ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้


รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย   และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งแอฟริกาใต้

 

                มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้  

 

                ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

 

 

ข้อ 1

ขอบข่ายด้านบุคคล

 

                อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ 2

ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย

 

1.             อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้ที่บังคับจัดเก็บในนาม ของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ หรือในนามของส่วนราชการของแต่ละรัฐ โดยไม่คำนึงถึง วิธีการเรียกเก็บ

 

2.             ภาษีทั้งปวงที่บังคับจัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้นหรือจากองค์ประกอบ ทั้งหลายของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายจ่ายโอนสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้จ่าย ให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้

 

3.             ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งอนุสัญญาใช้บังคับ ได้แก่

 

                (ก)          ในกรณีของประเทศแอฟริกาใต้

 

                               (1)          ภาษีปกติ

 

                               (2)          ภาษีการถือหุ้นของผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ และภาษีเสริมเฉพาะบริษัท

 

                (ข)          ในประเทศไทย

 

                               (1)          ภาษีเงินได้ และ

 

                               (2)          ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

 

                               (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")

 

4.             อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับกับภาษีใด ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญ ซึ่งบังคับจัดเก็บภายหลังจากวันที่ได้ลงนามในอนุสัญญานี้ เป็นการเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะได้แจ้งให้แก่กันและกันทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ

 

 

ข้อ 3

บทนิยามทั่วไป

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็น อย่างอื่น

 

                (ก)          คำว่า "ประเทศแอฟริกาใต้" หมายถึงสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และเมื่อใช้ในความหมายทางภูมิศาสตร์ หมายถึง อาณาเขตของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ พื้นที่ใด นอกทะเลอาณาเขต รวมทั้งไหล่ทวีป ซึ่งได้กำหนดไว้หรืออาจกำหนดในเวลาต่อไป ภายใต้กฎหมายของแอฟริกาใต้และตามกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้ อาจใช้สิทธิหรือเขตอำนาจอธิปไตย

 

                (ข)          คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทย และรวมถึงพื้นที่ใด ๆ ซึ่งติดกับน่านน้ำอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย ซึ่งตกอยู่ภายใต้สิทธิของราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ

 

                (ค)          คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง ประเทศแอฟริกาใต้หรือประเทศไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                (ง)          คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคลใด ๆ หรือหน่วยใด ๆ ซึ่งถือว่า เป็นนิติบุคคลเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี

 

                (จ)          คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึง

 

                              (1)          ในประเทศแอฟริกาใต้ อธิบดีกรมสรรพากร หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ

 

                              (2)          ในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ

 

                (ฉ)          คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีก รัฐหนึ่ง หมายถึง วิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ

 

                (ช)          คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใด ๆ ทางเรือหรือทาง อากาศยาน ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นกรณี การเดินเรือหรือเดินอากาศยานระหว่างสถานที่ต่าง ๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐ หนึ่งเท่านั้น

 

                (ฎ)          คำว่า "คนชาติ" หมายถึง บุคคลธรรมดาใด ๆ ซึ่งมีสัญชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐ หนึ่ง นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคม และหน่วยอื่นใดที่ได้รับสถานภาพเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง

 

                (ฏ)          คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา บริษัท คณะบุคคลใด ๆ ตลอดจนหน่วยใด ๆ ซึ่งถือเป็นหน่วยภาษีภายใต้อกฎหมายภาษีที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่ง และ

 

                (ฐ)          คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีแอฟริกาใต้หรือภาษีไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

2.             ในการใช้บังคับข้อบทของอนุสัญญานี้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งคำใด ๆ ที่มิได้นิยามไว้ใน อนุสัญญาฯ ให้มีความหมายซึ่งคำนั้น ๆ มีอยู่ตามกฎหมายของรัฐนั้น เกี่ยวกับภาษีที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

 

ข้อ 4

ผู้มีถิ่นที่อยู่

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง

 

                (ก)          ในกรณีประเทศแอฟริกาใต้ บุคคลธรรมดาใด ๆ ผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่เป็นปกติวิสัยในประเทศแอฟริกาใต้ และบุคคลใด ๆ ซึ่งมีสถานจัดการในประเทศแอฟริกาใต้และ

 

                (ข)          ในกรณีประเทศไทย บุคคลใดซึ่งตามกฎหมายของประเทศไทยมีหน้าที่จะต้องเสียภาษี โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจดทะเบียน สถานจัดการ หรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คำนี้ไม่รวมถึงบุคคลใด ซึ่งมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เพียง เฉพาะเงินได้ที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น

 

2.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้

 

                (ก)          ให้ถือว่า บุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งตนมีที่อยู่ถาวร ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่ถาวรในทั่งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐ ซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)

 

                (ข)          ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้ หรือถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย

 

                (ค)          ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั่งสองรัฐหรือไม่มีในทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐที่ตนเป็นคนชาติ

 

                (ง)          ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของทั้งสองรัฐหรือมิได้เป็นในทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

3.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลใดนอกเหนือจากบุคคลธรรมดาเป็น ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแก้ปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

 

ข้อ 5

สถานประกอบการถาวร

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถาน ธุรกิจประจำ ซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน

 

2.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะรวมถึง

 

                ก)            สถานที่จัดการ

 

                ข)            สาขา

 

                ค)            สำนักงาน

 

                ง)            โรงงาน

 

                จ)            โรงช่าง

 

                ฉ)           เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อแก๊ส เหมืองหิน หรือแล่งขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ

 

                ช)           คลังสินค้าในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งจัดหาสิ่งอำนายความสะดวกในการเก็บรักษาสินค้าสำหรับบุคคลอื่น

 

                ซ)           ที่ตั้งอาคาร โครงการก่อสร้าง โครงการติดตั้งหรือโครงการประกอบ และกิจกรรมตรวจควบคุมเกี่ยวกับ การนั้น ถ้าที่ตั้งโครงการ หรือกิจการเช่นว่านั้นดำเนินติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินกว่าหกเดือน และ

 

                ฌ)           การให้การบริการ รวมทั้งบริการให้คำปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้สัญญารัฐหนึ่งรัฐใด โดยผ่านทาง ลูกจ้างหรือบุคลากรของผู้มีถิ่นที่อยู่นั้น เพื่อความมุ่งประสงค์เช่นว่านั้น เพียงเฉพาะกิจกรรมในลักษณะนั้น ดำเนินติดต่อกัน (สำหรับโครงการเดียวกันหรือโครงการที่เกี่ยวเนื่อง) ภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเป็น ระยะเวลาเดียวหรือหลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลาสิบสองเดือนใด ๆ ที่เริ่มต้นหรือสิ้นสุดในปีภาษีที่เกี่ยวข้อง

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติก่อนของข้อนี้อยู่ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" ให้ถือว่าไม่รวมถึง

 

                ก)            การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา หรือการจัดแสดงสิ่งของ หรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น

 

                ข)            การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของสิ่งของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการ เก็บรักษาหรือจัดแสดง

 

                ค)            การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้วิสาหกิจ อื่นใช้ในการแปรสถาพ

 

                ง)            การมีสถานธุรกิจประจำเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อสิ่งของหรือสินค้า หรือรวบรวมข้อ สนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น

 

                จ)            การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา การให้ข้อสนเทศ การวิจัยทาง วิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบ ให้แก่วิสาหกิจนั้น และ

 

                ฉ)           การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อประกอบกิจกรรมที่กล่าวถึงในอนุวรรค (ก) ถึง (จ) โดยมีเงื่อนไขว่า กิจการทั้งมวลของสถานธุรกิจประจำเป็นผลจากการประกอบกิจกรรมดังกล่าว อันมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือส่วนประกอบ

 

4.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 เมื่อบุคคลนอกเหนือจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็น อิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 6 กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่ง จะถือว่าวิสาหกิจนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก ถ้าบุคคลนั้น

 

                ก)            มีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของวิสาหกิจนั้น เว้นไว้แต่ว่า กิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น

 

                ข)            ไม่มีอำนาจดังกล่าว แต่ได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งมูลภัณฑ์ของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น และดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ

 

                ค)            ไม่มีอำนาจดังกล่าว แต่ได้จัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือส่วนใหญ่เพื่อวิสาหกิจนั้น หรือเพื่อวิสาหกิจนั้น และวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

5.             แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อน ๆ ของข้อนี้อยู่ วิสาหกิจประกันภัยของรัฐผู้ทำสัญญารัฐ หนึ่ง ยกเว้นในกรณีของการรับประกันภัยต่อ จะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรับหนึ่งนั้น ถ้าวิสาหกิจนั้นเรียกเก็บเบี้ยประกันในอาณาเขตของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น หรือรับประกันภัยภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางลูกจ้างหรือผ่านทางตัวแทนซึ่งมิได้เป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระตามความหมายของวรรค 6 ของข้อนี้

 

6.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรับหนึ่งโดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลดังกล่าวได้กระทำตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม ถ้ากิจกรรมของตัวแทนดังกล่าวทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ได้กระทำในนามวิสาหกิจนั้น หรือกระทำในนามของวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น บุคคลเช่นว่านี้จะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระตามความหมายของวรรคนี้

 

7.             เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุม หรืออยู่ในความควบคุมของบริษัท ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรับหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011