เมนูปิด

ข้อ 11

ดอกเบี้ย

 

1.             ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นและตามกฎหมายของรัฐนั้นและเป็นบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกิน

 

                (ก)          ร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยทั้งสิ้น ถ้าดอกเบี้ยนั้นได้รับโดยสถาบันการเงิน (รวมทั้งบริษัทประกันภัย)

 

                (ข)          ร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยทั้งสิ้น ในกรณีของดอกเบี้ยในการขายผ่อน

 

                (ค)          ร้อยละ 25 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้นในกรณีอื่นๆ

 

3.             ไม่ว่าบทบัญญัติของวรรค 2 จะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่เกิดในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้แก่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก

 

4.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรค 3 คำว่า "รัฐบาล"

 

                (ก)          ในกรณีของประเทศไทย หมายถึง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและให้รวมถึง

 

                               (1)          ธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้ขอบข่ายที่ว่ากิจการที่ดำเนินการนั้นอยู่ในอำนาจตามปกติของธนาคารกลางและ

 

                               (2)          องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น

 

                (ข)          ในกรณีประเทศโรมาเนียหมายถึง รัฐบาลแห่งโรมาเนีย และให้รวมถึง

 

                               (1)          ธนาคารชาติแห่งประเทศโรมาเนีย

 

                               (2)          ธนาคารโรมาเนียเพื่อการค้าต่างประเทศภายใต้ขอบข่ายที่ว่ากิจกรรมที่ดำเนินการนั้นอยู่ในอำนาจปกติของธนาคารกลาง

 

5.             คำว่า "ดอกเบี้ย" ที่ใช้ในข้อนี้หมายถึงเงินได้จากหลักทรัพย์รัฐบาล พันธบัตร หรือหุ้นกู้ ไม่ว่าจะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ ไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรหรือไม่ และสิทธิเรียกร้องหนี้ทุกชนิด รวมทั้งเงินได้อื่นๆ ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกับเงินได้จากการให้กู้ยืมเงินตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐซึ่งเงินได้นั้นเกิดขึ้นเบี้ยปรับสำหรับการชำระที่เกินกำหนดจะไม่ถือว่าเป็นดอกเบี้ยตามความมุ่งประสงค์ของข้อนี้

 

6.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าเจ้าของผู้รับประโยชน์จากในดอกเบี้ย เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นโดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น หรือให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระในอีกรัฐหนึ่งนั้นจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น สิทธิเรียกร้องหนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่จ่ายนั้นเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ในกรณีเช่นนั้นให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 15 บังคับแล้วแต่กรณี

 

7.             ดอกเบี้ยจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง ส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่บุคคลผู้จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำ ดอกเบี้ยนั้นจะถือว่าเกิดขึ้น ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่

 

8.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและเจ้าของผู้รับประโยชน์หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่จ่ายนั้น เมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้องหนี้อันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้วมีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับเจ้าของผู้รับผลประโยชน์ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะแต่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระจะยังคงถูกเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งอนุสัญญานี้ด้วย

 

 

 

ข้อ 12

ค่านายหน้า

 

1.             ค่านายหน้าที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ค่านายหน้าเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งค่านายหน้านั้นเกิดขึ้น และตามกฎหมายของรัฐนั้นแต่ภาษีที่เก็บจะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนค่านายหน้าทั้งสิ้น

 

3.             คำว่า "ค่านายหน้า" ตามที่ใช้ในข้อนี้หมายถึงการจ่ายให้แก่นายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไป หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายนายหน้าหรือตัวแทน ตามกฎหมายภาษีของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งการจ่ายเงินนั้นเกิดขึ้น

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าผู้รับค่านายหน้าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับกิจกรรมที่ทำให้เกิดการจ่ายค่านายหน้านั้น อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ค่านายหน้านั้นเกิดขึ้น ในกรณีเช่นนี้ให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 บังคับ

 

5.             ค่านายหน้าจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งถ้าผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง หน่วยปกครองพื้นที่ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม กรณีบุคคลที่จ่ายค่านายหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตามมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง อันเกี่ยวข้องเป็นประการสำคัญกับกิจกรรมที่ทำให้ต้องจ่ายค่านายหน้านั้นและค่านายหน้านั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้น ค่านายหน้าเช่นว่านั้นให้ถือว่า เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถาน ประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่

 

6.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่นค่านายหน้าที่จ่ายนั้น เมื่อคำนึงถึงการกระทำอันเป็นมูลแห่งการจ่ายค่านายหน้า มีจำนวนเกินกว่าจำนวนซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทบัญญัติของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระจะยังคงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งอนุสัญญานี้ด้วย

 

 

 

ข้อ 13

ค่าสิทธิ

 

1.             ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ค่าสิทธินั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นและตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ภาษีที่เก็บจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น

 

3.             คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้หมายถึง การจ่ายไม่ว่าชนิดใดๆที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนเพื่อการจำหน่ายหรือการใช้หรือสิทธิในการใช้ ลิขสิทธิ์ในงานหัตถกรรม ศิลปกรรม หรืองานวิทยาศาสตร์ รวมทั้งลิขสิทธิ์ในฟิล์มภาพยนตร์หรือฟิล์มหรือเทปที่ใช้สำหรับเผยแพร่ทางวิทยุ หรือโทรทัศน์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือทรัพย์สินหรือสิทธิอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึง แบบหรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตรลับหรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อข้อสนเทศเกี่ยวกับประสบการณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมหรือทางวิทยาศาสตร์

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับถ้าผู้รับค่าสิทธิเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มีสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิหรือทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดค่าสิทธินั้น ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ในกรณีเช่นนั้นจะใช้บทบัญญัติของข้อ 7 บังคับ

 

5.             ค่าสิทธิ จะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เมื่อผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง หน่วยปกครองพื้นที่ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลซึ่งจ่ายค่าสิทธิไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตามมีอยู่ซึ่งสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิหรือทรัพย์ที่ก่อให้เกิดค่าสิทธินั้น ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและค่าสิทธินั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้นให้ถือว่าค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่

 

6.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่นค่าสิทธิที่จ่ายเมื่อคำนึงถึงการใช้สิทธิ หรือข้อสนเทศอันเป็นมูลแห่งการจ่ายแล้วมีจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทบัญญัติของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นว่านี้ส่วนเกินของเงินที่ชำระให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งอนุสัญญานี้ด้วย

 

 

 

ข้อ 14

ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สิน

 

1.             ผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ตามที่นิยามไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งทรัพย์นั้นตั้งอยู่

 

2.             ผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับฐานประกอบการประจำซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการประกอบบริการวิชาชีพ รวมทั้งผลได้จากการจำหน่ายของสถานประกอบการถาวรเช่นว่านั้น (โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด)หรือฐานประกอบการประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่ง

 

3.             ผลได้ที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายเรือหรืออากาศยานที่ได้ดำเนินการในการจราจรระหว่างประเทศ หรือสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเกี่ยวกับเรือหรืออากาศสานเช่นว่านั้น จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น 4. ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ใด ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ในวรรค 1, 2 และ 3 ของข้อนี้ จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งผู้จำหน่ายเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ ไม่มีข้อความใดในวรรคนี้ที่จะขัดขวางรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐในการเก็บภาษีจากผลได้หรือเงินได้จากการขายหรือการโอนหุ้นหรือพันธบัตรอื่นๆ

 

 

 

ข้อ 15

บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ

 

1.             เงินได้ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือกิจกรรมที่เป็นลักษณะอื่นๆอันมีลักษณะคล้ายคลึงกันจะเก็บภาษีได้เฉพาะรัฐนั้น เว้นไว้แต่ว้ากิจกรรมเช่นว่านั้นกระทำขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเงินได้ในส่วนที่เกี่ยวกับการให้บริการวิชาชีพหรือการกระทำที่เป็นอิสระที่กระทำขึ้นในอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้โดยอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             ไม่ว่าบทบัญญัติของวรรค 1 จะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม เงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการให้บริการวิชาชีพหรือกิจกรรมที่เป็นอิสระอย่างอื่นที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะไม่ถูกเก็บภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้น ถ้า

 

                (ก)          ผู้รับอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันแล้วไม่เกินกว่า 183 วัน ในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง

 

                (ข)          ผู้รับมิได้มีฐานประกอบการประจำในอีกรัฐหนึ่ง นั้น และ

 

                (ค)          เงินได้นั้นมิได้ตกเป็นภาระแก่วิสาหกิจหรือสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ใน อีกรัฐหนึ่งนั้น

 

3.             คำว่า "บริการวิชาชีพ" ให้รวมถึงกิจกรรมอิสระโดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ วรรณคดี ศิลปะ การศึกษา หรือการสอบ รวมทั้งกิจกรรมอิสระของแพทย์ ทนายความ วิศวกร สถาปนิก ทันตแพทย์ และนักบัญชี

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011