เมนูปิด

ข้อ 21
การขจัดการเก็บภาษีซ้อน

 

1.             ในกรณีที่บุคคลที่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ได้รับเงินได้จากรับผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและเงินได้นั้น ตามบทแห่งอนุสัญญานี้ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรืออาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้รัฐแรกยกเว้นภาษี สำหรับเงินได้ดังกล่าวโดยอยู่ในบังคับแห่งวรรค 2 แต่ในการคำนวณภาษีจากเงินได้ส่วนที่เหลือของบุคคลนั้นอาจใช้อัตราภาษีอันจักพึงใช้ได้ ถ้าหากว่าเงินได้รับจากการยกเว้นนั้นไม่ได้รับการยกเว้นนั้นไม่ได้รับยกเว้นเช่นว่านั้น

 

2.             ในกรณีที่บุคคลเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับเงินได้จากรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและเงินได้นั้นตามบทบัญญัติของข้อ 10 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ให้รัฐแรกยอมให้มีการหักจากภาษีเงินได้ของบุคคลนั้น เป็นจำนวนเท่ากับภาษีที่ชำระในอีกรัฐหนึ่งนั้น อย่างไรก็ตาม การหักเช่นว่านี้จะต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่เป็นส่วนสัดอันสมควรกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้นตามที่คำนวณไว้ก่อนที่จะมีการหัก

 

 

ข้อ 22
การไม่เลือกประติบัต

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติในพฤติการณ์เดียวกัน

 

2.             ภาษีอากรเก็บจากสถานประกอบการถาวร ซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งโดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน

 

3.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียวหรือหลายคนเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนอยู่ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับนั้นอันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐแรกนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือปฏิบัติตาม

 

4.             บทของข้อนี้มิให้แปลความเป็นการผูกพัน รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดอันที่จะให้ค่าลดหย่อนการผ่อนผัน และการหักลงเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษีซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

5.             ภาษีจากเงินได้ ทุน และเงินชำระจากกำไรสู่งบประมาณ พะกาติซะซิสกุ (Wpraty z Zysku) ซึ่งภายใต้บังคับของกฎหมายโปแลนด์ที่ให้กับวิสาหกิจสังคมนิยมแห่งโปแลนด์เจ็ดนอสติ กอสโนคากี้ (Jednostki Gospodark Uspolecznionej) ให้ใช้บังคับเฉพาะวิสาหกิจดังกล่าวเท่านั้น และไม่ไห้ถือเป็น "ภาษีอากร" ตามวัตถุประสงค์แห่งข้อนี้

 

6.             ในข้อนี้ คำว่า "ภาษีอากร" หมายถึง ภาษีอากรทุกชนิดทุกลักษณะ

 

 

ข้อ 23
วิธีการเพื่อความตกลงร่วมกัน

1.             ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งพิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดหรือทั้งสองรัฐมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากร โดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีถิ่นที่อยู่ แม้จะมีทางแก้ไขตามกฎหมายแห่งชาติของรัฐเหล่านั้นอยู่แล้วก็ตาม

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควร และถ้าตนไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจักพยายามแก้ไขกรณีนั้น โดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้

 

3.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจักพยายามแก้ไขถึงข้อยุ่งยากหรือข้อสงสัยใดๆ อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้อนุสัญญานี้ โดยความตกลงร่วมกันเจ้าหน้าที่ดังกล่าวยังอาจหรือกันเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้อนในบรรดากรณีที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐอาจติดต่อกันโดยตรง เพื่อให้มีความตกลงตามความหมายแห่งวรรคก่อนๆ นั้น เมื่อเห็นเป็นการสมควรที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยวาจาเพื่อให้มีความตกลงกันการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนั้นอาจกระทำโดยทางคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้แทนของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

 

ข้อ 24
การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ

1.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจากแลกเปลี่ยนข้อสนเทศอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามอนุสัญญานี้และตามกฎหมายในของรัฐผู้ทำสัญญาเกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้เท่าที่ภาษีอากรตามกฎหมายดังกล่าวสอดคล้องกับอนุสัญญานี้ ข้อสนเทศใดๆ ที่แลกเปลี่ยนกัน จัดถือว่าเป็นความลับ และจักไม่เปิดเผยแก่บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ใดๆ นอกจากผู้เกี่ยวข้องกับการประเมินหรือการเก็บภาษีอากรซึ่งอยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้

 

2.             ไม่มีกรณีใดที่จักแปลความบทบัญญัติของวรรค 1 เป็นการตั้งข้อผูกพันบังคับของผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งให้

 

                 ก             ดำเนินมาตรการด้านบริหารโดยขัดกับกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติด้านบริหารของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น

                                หรือ ของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                 ข             ให้รายละเอียดอันมิอาจจัดหาได้ตามกฎหมายหรือตามทางการบริหารตามปกติของรัฐผู้ทำ

                                สัญญารัฐนั้นหรือของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                 ค             ให้ข้อสนเทศซึ่งจะเปิดเผยความลับทางการค้าธุรกิจ อุตสาหกรรม การพาณิชย์ หรือวิชาชีพหรือ

                                กรรมการวิธีการค้า หรือข้อสนเทศซึ่งหากเปิดเผยจะเป็นการขัดกับความสงบเรียบร้อยของ

                                สาธารณชน

 

 

ข้อ 25
เจ้าหน้าที่ทางทูต และ กงสุล

                ไม่มีข้อความใดในอนุสัญญานี้จักกระทบกระเทือนต่อเอกสิทธิ์ทางการรัษฎากรของเจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุลตามหลักทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามบทบัญญัติแห่งความตกลงพิเศษทั้งหลาย

 

 

ข้อ 26
การใช้บังคับ

1.             อนุสัญญานี้กำหนดให้ได้รับการสัตยาบันและจะได้รับการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกันที่กรุงวอซอร์

 

2.             อนุสัญญานี้จะเริ่มใช้บังคับเมื่อได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกันแล้ว และให้มีผลบังคับต่อเงินได้ในปีปฏิทินหรือรอบระยะเวลาบัญชี ที่เริ่มต้นในหรือหลังวันแรกของเดือนมกราคมในปีปฏิทินซึ่งมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร

 

 

ข้อ 27
การเลิกใช้

                อนุสัญญานี้จะยังคงมีผลใช้บังคับตลอดไป แต่รัฐหนึ่งรัฐใดอาจบอกเลิกอนุสัญญานี้โดยวิถีทางการทูต โดยแจ้งรัฐอีกรัฐหนึ่งถึงการบอกเลิกไม่ช้ากว่าวันที่ 30 ของเดือนมิถุนายนของปีปฏิทินใดๆ ภายหลังกำหนดห้าปีนับแต่ปีที่อนุสัญญานี้เริ่มใช้บังคับ ในกรณีเช่นนี้อนุสัญญาจักเป็นอันเลิกมีผลบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ของปีปฏิทิน หรือรวมระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นในหรือหลังวันแรกของเดือนมกราคมของปีปฏิทินต่อมาที่การบอกเลิกได้มีขึ้น

 

                เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องเพื่อการนี้จากรัฐบาลของแต่ละประเทศได้ลงนามในอนุสัญญานี้

 

                ทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมของปี ค.ศ.1978 เป็นต้นฉบับ2ชุดเป็น ภาษาโปแลนด์หนึ่งฉบับ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษหนึ่งฉบับทุกฉบับใช้ได้เท่าเทียมกัน เว้นแต่กรณีสงสัยให้ใช้ฉบับภาษาอังกฤษบังคับ

 

ในนามของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย


ลงนาม อุปดิศร์ ปาจรียางกูร
(อุปดิศร์ ปาจรียางกูร)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ในนามของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์


ลงนาม เอมิล วอยตาเซค
(เอมิล วอยตาเซค)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011