เมนูปิด

ข้อ 11

ดอกเบี้ย

 

1.             ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ดอกเบี้ยเกิดขึ้นและเป็นไปตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ภาษีที่เรียกเก็บนั้นไม่ให้เกินกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้นถ้าได้รับโดยสถาบันทางการเงิน (รวมทั้งบริษัทประกันภัย)

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 2 อยู่ ดอกเบี้ยซึ่งเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้แก่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจักได้รับยกเว้นจากภาษีของรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก

 

4.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรค 3 คำว่า "รัฐบาล"

 

                 ก             ในกรณีของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ หมายถึงรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์และจักรวมถึง

 

                            -              ธนาคารชาติแห่งประเทศโปแลนด์ (NARODOWY BANK POLSKI) และธนาคาร HANDLOWY W. WARSZAWIE S.A.ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมของธนาคารที่ได้ดำเนินการภายในขอบข่ายแห่งอำนาจหน้าที่ปกติของธนาคารกลาง

 

                            -              สถาบันทั้งหลายที่มีทุนทั้งหมดเป็นของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น อันอาจจะตกลงเป็นระยะๆ ระหว่างรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

                 ข             ในกรณีของประเทศไทย หมายถึงรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและจักรวมถึง - ธนาคารแห่งประเทศไทย และ

 

                            -              สถาบันทั้งหลายที่มีทุนทั้งหมดเป็นของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอันอาจจะตกลงเป็นระยะๆ ระหว่างรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

5.             คำว่า "ดอกเบี้ย" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึงเงินได้จากหลักทรัพย์รัฐบาล พันธบัตรหรือหุ้นกู้ ไม่ว่าจะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิมีส่วนรวมในผลกำไรหรือไม่และสิทธิเรียกร้องหนี้ทุกชนิดและส่วนเกินใดๆ ของจำนวนที่จ่ายตามสิทธิเรียกร้องหนี้นั้นๆ ต่อจำนวนที่ให้ยืมไปตลอดจนเงินได้อื่นๆ ทั้งมวลซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเงินได้จากการให้กู้ยืมเงินตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งเงินได้นั้นเกิดขึ้น

 

6.             บทของวรรค 1 และ 2 จักไม่ใช้บังคับ ถ้าหากผู้รับดอกเบี้ยซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิเรียกร้องหนี้ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยนั้น กับธุรกิจที่ดำเนินงานผ่านสถานประกอบการถาวรนั้น ในกรณีเช่นนี้บทบัญญัติของข้อ 7 จักใช้บังคับ

 

7.             ดอกเบี้ยจักถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ถ้าผู้จ่ายได้แก่รัฐผู้ทำสัญญานั่นเอง ส่วนราชการองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญานั้น อย่างไรก็ตามในกรณีบุคคลที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งสถานประกอบการถาวรอันก่อให้เกิดหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยขึ้นและดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้น ดังนั้น ดอกเบี้ยเช่นว่าจักถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่

 

8.             ในกรณีใดที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายและผู้รับ หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่จ่ายให้กันนั้นเมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้องหนี้อันเป็นมูลแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้วมีจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้นบทของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงบทอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย

 

 

ข้อ 12

ค่าสิทธิ

 

1.             ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจักเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ค่าสิทธิเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นแต่ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจักไม่เกิน

 

                 ก             ร้อยละ 5 ของจำนวนทั้งสิ้นของค่าสิทธิ ถ้าค่าสิทธินั้นจ่ายเป็นค่าตอบแทนสำหรับการจำหน่ายหรือการใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม, ศิลปกรรม หรือวิทยาศาสตร์ใดๆ ไม่รวมถึงฟิล์มภาพยนตร์หรือเทปบันทึกภาพสำหรับโทรทัศน์ หรือการกระจายเสียง

 

                 ข             ร้อยละ 15 ของจำนวนทั้งสิ้นของค่าสิทธิอื่นๆ

 

3.             แม้จะมีบทของวรรค 2 อยู่ ค่าสิทธิหรือการจ่ายเงินอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน จ่ายให้แก่รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือบริษัทซึ่งเป็นของรัฐ ในเรื่องเกี่ยวกับฟิล์มหรือเทป ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

4.             คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ข้อนี้หมายถึง การจ่ายเงินชนิดใดก็ตามที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนจากการจำหน่ายหรือเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ใดในงานวรรณกรรม, ศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ รวมทั้งฟิล์มภาพยนตร์หรือเทปบันทึกสำหรับโทรทัศน์ หรือการกระจายเสียง สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แบบหรือหุ้นจำลอง แผนผัง สูตรหรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อการใช้สิทธิในการใช้ข้อสนเทศเกี่ยวกับ ประสบการณ์ทางอุตสาหกรรมการพาณิชย์ หรือวิทยาศาสตร์

 

5.             บทบัญญัติของวรรค 1 และวรรค 2 จักไม่ใช้บังคับในกรณีที่ผู้รับค่าสิทธิ ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่าค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นซึ่งสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิหรือทรัพย์ที่ก่อให้เกิดค่าสิทธินั้น ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ค่าสิทธิถูกเก็บภาษีในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของกำไรของสถานประกอบการถาวรนั้นในกรณีเช่นบทบัญญัติของข้อ 7 จักใช้บังคับ

 

6.             ค่าสิทธิจักถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายได้แก่รัฐนั้น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้จ่ายค่าสิทธินั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตามมีอยู่ ซึ่งสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิหรือทรัพย์ที่ก่อให้เกิดค่าสิทธินั้น และค่าสิทธินั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้น ค่าสิทธิเช่นว่านั้นจักถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่

 

7.             ในกรณีใดที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายและผู้รับ หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ค่าสิทธิที่จ่าย เมื่อคำนึงถึงการใช้สิทธิหรือข้อสนเทศอันเป็นมูลแห่งการจ่ายแล้วมีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นจักคงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ ของอนุสัญญานี้

 

 

ข้อ 13

ผลได้จากทุน

 

1.             ผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ตามที่นิยามไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งทรัพย์นั้นตั้งอยู่

 

2.             ผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ อันเป็นส่วนของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งสถานประกอบการถาวร (โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด) อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่ง อย่างไรก็ดีผลได้จากการจำหน่าย เรือ และอากาศยาน ที่ใช้ในการคมนาคมระหว่างประเทศ และสินทรัพย์อย่างอื่นนอกเหนือไปจากอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวพันกับการใช้งานของเรือและอากาศยาน จะเรียกเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานจัดการใหญ่ของวิสาหกิจนั้นตั้งอยู่

 

 

ข้อ 14

บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ

 

1.             เงินได้ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือกิจกรรมที่เป็นอิสระอื่นๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน เก็บภาษีได้เพียงในรัฐนั้น นอกเสียจากว่ากิจกรรมนั้นกระทำขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เงินได้เกี่ยวกับการให้บริการวิชาชีพหรือกิจกรรมอิสระที่กระทำขึ้นภายในรัฐอีกรัฐหนึ่งให้เก็บภาษีได้โดยรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             แม้ว่าจะมีบทของวรรค 1 บังคับอยู่ เงินได้ที่ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการให้บริการวิชาชีพหรือกิจกรรมอิสระอื่นๆ ที่กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง มิให้เก็บภาษีภายในรัฐอีกรัฐหนึ่ง ถ้า

 

                 ก             ผู้รับอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง เพียงชั่วระยะหนึ่งหรือหลายระยะซึ่งรวมกันแล้วไม่เกิน 183 วัน ในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง และ

 

                 ข             ผู้รับมิได้มีสถานประกอบการประจำในอีกรัฐหนึ่ง สำหรับระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะรวมกันไม่เกิน 183 วันในปีนั้นๆ และ

 

                 ค             เงินได้นั้นไม่ตกเป็นภาระของวิสาหกิจหรือสถานประกอบการถาวรในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

3.             คำว่า "บริการวิชาชีพ" รวมถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรม ศิลป การศึกษา และการสอนรวมทั้งกิจกรรมอิสระของแพทย์ ทนายความ วิศวกร สถาปัตย์และทันตแพทย์

 

 

ข้อ 15

บริการส่วนบุคคลที่ไม่เป็นอิสระ

 

1.             ในบังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ 16, 17, 18, 19 และ 20 เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงาน จักเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น เว้นไว้แต่ว่า การจ้างงานในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งถ้าได้ปฏิบัติการเช่นว่าแล้ว ค่าตอบแทนที่ได้รับจากการนั้น อาจเก็บภาษีได้เฉพาะได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 อยู่ ค่าตอบแทนที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในการรับจ้างทำงานในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จักเก็บภาษีได้เฉพาะแต่ในรัฐแรก ถ้า

 

                 ก             ผู้รับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลา ซึ่งรวมกันแล้วไม่เกิน 183 วัน ในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง และ

 

                 ข             ค่าตอบแทนนั้นได้จ่ายโดย หรือนามของนายจ้างซึ่งมิใช่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง และ

 

                 ค             ค่าตอบแทนไม่ตกเป็นภาระของสถานประกอบการถาวรซึ่งนายจ้างมีอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติก่อนๆ ของข้อนี้อยู่ ค่าตอบแทนในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานซึ่งได้ปฏิบัติในเรือหรืออากาศยาน ในการจราจรระหว่างประเทศ อาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งสถานจัดการใหญ่ของวิสาหกิจตั้งอยู่

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011