เมนูปิด

ข้อ 21

นักเรียนและผู้ฝึกงาน

 

1.             บุคคลธรรมดาซึ่งเคยมีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในขณะก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและพำนักอาศัยอยู่ในอีกรัฐหนึ่งซึ่งเป็นการชั่วคราวในฐานะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาอื่นอันคล้ายคลึงกัน หรือในฐานะผู้ฝึกงานทางธุรกิจจะได้รับการยกเว้นภาษีจากรัฐผู้ทำสัญญานั้นนับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงสำหรับ

 

                (ก)          เงินทั้งปวงที่ส่งมาจากต่างประเทศเพื่อจุดประสงค์ในการครองชีพ การศึกษา หรือการฝึกงานของบุคคลผู้นั้น และ

 

                (ข)          ค่าตอบแทนสำหรับบริการส่วนบุคคลที่ให้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โดยมุ่งหมายที่จะจุนเจือปัจจัยสำหรับบุคคลนั้น เพื่อความมุ่งประสงค์เช่นนั้น ในการกำหนดเวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 5 ปี

 

2.             บุคคลธรรมดา ซึ่งเคยเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ขณะก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และพำนักอาศัยอยู่ในรัฐหนึ่งนั้นเป็นการชั่วคราว เพื่อความมุ่งประสงค์ในการศึกษา การวิจัยหรือการฝึกงานในฐานะที่เป็นผู้ที่ได้รับทุน เงินอุดหนุน หรือรางวัลจากองค์การวิทยาศาสตร์ การศึกษา ศาสนาหรือองค์การกุศล หรือภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการซึ่งจัดโดยรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นในกำหนดเวลาไม่เกิน 5 ปีนับจากวันแรกที่เดินทางไปถึง ในส่วนที่เกี่ยวกับ

 

                (ก)          จำนวนของเงินทุนดังกล่าว เงินอุดหนุน หรือรางวัล

 

                (ข)          เงินทั้งปวงที่ส่งมาจากต่างประเทศเพื่อจุดประสงค์ในการครองชีพ การศึกษา หรือการฝึกงานและ

 

                (ค)          เงินค่าตอบแทนอื่นๆ สำหรับการบริการส่วนบุคคลที่ได้ให้แก่รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยมีเงื่อนไขว่าบริการดังกล่าวนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับการศึกษา การวิจัย การฝึกงาน หรือมีลักษณะอย่างเดียวกันของบุคคลผู้นั้น

 

3.             บุคคลธรรมดาซึ่งเคยเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในเวลาใกล้ชิดก่อนที่จะเดินทางไปเยือนรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และพักอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราวในฐานะผู้ฝึกงาน เพื่อความมุ่งประสงค์ให้ได้มาซึ่งความชำนาญทางเทคนิค วิชาชีพ หรือทางธุรกิจภายในระยะเวลาไม่เกินกว่า 2 ปี นับตั้งแต่การเดินทางเข้าไปถึงรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งของเขาให้ได้ยกเว้นภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้นสำหรับ

 

                (ก)          เงินทั้งปวงที่ส่งมาจากต่างประเทศ เพื่อจุดประสงค์ในการครองชีพ การศึกษา หรือการฝึกงานของบุคคลนั้น และ

 

                (ข)          ค่าตอบแทนสำหรับบริการส่วนบุคคลในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าบริการเช่นว่านั้นต้องเกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการฝึกงานหรือส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเหล่านั้น

 

 

 

ข้อ 22

เงินได้ซึ่งมิได้ระบุไว้ชัดเจน

 

                บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งมิได้ระบุไว้ชัดแจ้งในข้อก่อนๆ ของอนุสัญญาฉบับนี้ จะเรียกเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญานั้นเท่านั้น ถ้าเงินได้ดังกล่าวได้รับจากแหล่งภายในของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเรียกเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น  

 

 

 

ข้อ 23

การขจัดการเก็บภาษีซ้อน

 

1.             ในกรณีของประเทศไทย

 

                (ก)          ภาษีฟิลิปปินส์ที่จะต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ในฟิลิปปินส์นั้นจะยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีไทย ที่จะต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น

 

                (ข)          ในกรณีเงินได้นั้นเป็นเงินปันผลที่บริษัทซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในฟิลิปปินส์จ่ายให้กับบริษัทซึ่งเป็นผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และซึ่งมีหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 เครดิตนั้นจะต้องพิจารณาถึงภาษีฟิลิปปินส์ที่ต้องชำระโดยบริษัทในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้และ

 

                (ค)          อย่างไรก็ตาม เครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะให้เครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้รายการนั้น

 

2.             คำว่า "ภาษีฟิลิปปินส์ที่ต้องชำระ" ให้ถือว่ารวมถึงจำนวนภาษีฟิลิปปินส์ซึ่งควรจะได้ชำระแล้วถ้าภาษีฟิลิปปินส์เช่นว่านั้น ไม่ได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนมาก่อนตามอนุสัญญานี้และหรือตามกฎหมายจูงใจพิเศษซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ ณ วันลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ หรือซึ่งอาจนำมาใช้ ภายหลังในกฎหมายภาษีของฟิลิปปินส์ เมื่อได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือเมื่อได้มีการเพิ่มเติมกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว

 

3.             ในกรณีของประเทศฟิลิปปินส์ ในบังคับกฎหมายของประเทศฟิลิปปินส์เกี่ยวกับการยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีฟิลิปปินส์สำหรับภาษีที่ต้องชำระในประเทศอื่น นอกจากประเทศฟิลิปปินส์

 

                (ก)          ภาษีไทยที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากประเทศไทย จะยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีประเทศฟิลิปปินส์ที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น

 

                (ข)          ในกรณีที่เงินได้นั้นเป็นเงินปันผลที่บริษัทผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยจ่ายให้แก่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศฟิลิปปินส์และซึ่งมีหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 เครดิตนั้นจะต้องพิจารณาถึงภาษีไทยที่ต้องชำระโดยบริษัทนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ และ

 

                (ค)          อย่างไรก็ตาม เครดิตนั้นจะต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีฟิลิปปินส์ส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะให้เครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้รายการนั้น

 

4.             คำว่า "ภาษีไทยที่ต้องชำระ" ให้ถือว่ารวมจำนวนภาษีไทยซึ่งควรจะได้ชำระแล้ว ถ้าภาษีไทยเช่นว่านั้นไม่ได้รับการลดหย่อนมาก่อน ตามอนุสัญญาฉบับนี้หรือตามกฎหมายจูงใจพิเศษ ซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจในประเทศไทยที่มีผลใช้บังคับอยู่ ณ วันลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ซึ่งอาจนำมาใช้ภายหน้าในกฎหมายภาษีอากรของประเทศไทยเมื่อได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือเมื่อได้มีการเพิ่มเติมกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว

 

 

ข้อ 24

การไม่เลือกประติบัติ

 

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ หรือเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งถูกบังคับหรือต้องปฏิบัติการในพฤติการณ์เช่นเดียวกัน

 

2.             การเก็บภาษีอากรจากสถานประกอบการถาวร ซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่เรียกเก็บภาษีจากอีกรัฐหนึ่ง โดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งนั้น ที่ได้ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน

 

3.             ไม่มีบทของข้อนี้ที่จะแปลความอันเป็นการผูกพันต่อรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดที่จะให้ค่าลดหย่อน การผ่อนผันหรือการหักลดส่วนบุคคลแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง สำหรับความมุ่งประสงค์ในการจัดเก็บภาษีตามสถานะของบุคคลหรือตามความรับผิดชอบทางครอบครัวซึ่งรัฐผู้ทำสัญญานั้นได้ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

4.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่ง ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง คนหนึ่งหรือหลายคนเป็นเจ้าของหรือควบควบทุนอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับการนั้น นอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าวิสาหกิจทำนองเดียวกับอื่นๆ ของรัฐแรกที่กล่าวถึงถูกหรืออาจถูกบังคับให้ปฏิบัติ

 

5.             แม้จะมีบทบัญญัติก่อนๆ ของข้อนี้ รัฐผู้ทำสัญญาภายใต้การส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรม หรือธุรกิจที่จำเป็นอาจจะกำหนดให้คนชาติของตนได้รับผลประโยชน์จากการจูงใจในด้านภาษีอากรที่อนุมัติแล้วได้

 

6.             ในข้อนี้คำว่า "ภาษีอากร" หมายความถึง ภาษีอากรซึ่งเป็นเรื่องของอนุสัญญานี้

 

 

ข้อ 25

วิธีการเพื่อดำเนินการตกลงร่วมกัน

 

1.             ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งพิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐใดรัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากร โดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ หรือถ้ากรณีของบุคคลผู้นั้นอยู่ภายใต้วรรค 1 ของข้อ 24 ต่อรัฐผู้ทำสัญญาที่ผู้นั้นเป็นคนชาติอื่นเป็นคำร้องระบุถึงพื้นฐานสำหรับการอ้างสิทธิตามบทของภาษีอากรดังกล่าว โดยไม่ขัดต่อวิธีการแก้ไขที่วางไว้โดยกฎหมายของแต่ละรัฐเพื่อให้มีผล คำร้องที่กล่าวถึงจะต้องยื่นภายในเวลา 2 ปี นับจากกรณีการเสียภาษีอากรซึ่งไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้เกิดขึ้น

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควรและถ้าตนไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจพยายามแก้ไขกรณีนั้นโดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้

 

3.             ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองพยายามแก้ไขข้อยุ่งยากหรือข้อสงสัยใดๆอันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้อนุสัญญานี้โดยความตกลงร่วมกัน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยังอาจหารือกันเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้อนในกรณีใดๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ได้ด้วย

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองอาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้มีการตกลงกันตามความหมายแห่งวรรคก่อนๆ นั้น

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011