เมนูปิด

ข้อ 11

เงินปันผล

 

1.             เงินปันผลที่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจ่ายแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม เงินปันผลเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่และตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าผู้รับเงินปันผลเป็นบริษัทซึ่งถือหุ้นอยู่โดยตรงอย่างน้อยร้อยละ 15 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของบริษัทที่จ่ายเงินปันผล ภาษีที่เก็บจะต้องไม่เกิน

 

                ก.            ร้อยละ 15 ของเงินปันผลทั้งสิ้น ถ้าบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นบริษัทของประเทศฟิลิปปินส์หรือถ้าบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นบริษัทของประเทศไทยที่ดำเนินกิจการอุตสาหกรรม

 

                ข.            ร้อยละ 20 ของเงินปันผลทั้งสิ้น ถ้าบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นบริษัทของประเทศไทยซึ่งมิได้ดำเนินการอุตสาหกรรม

 

3.             บทบัญญัติแห่งวรรค 1, 2 จะไม่มีผลต่อการเก็บภาษีต่อบริษัทในส่วนที่เกี่ยวกับกำไรที่ได้จ่ายเงินปันผลนั้นออกไป

 

4.             (ก)          คำว่า "เงินปันผล" ดังที่ใช้ในข้อนี้หมายถึงเงินได้จากหุ้น หุ้นหรือสิทธิใบหุ้นโดยมิต้องลงทุนเป็นเงินหุ้นเหมืองแร่ หุ้นของผู้ก่อตั้งหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งมิใช่สิทธิเรียกร้องหนี้อันมีส่วนในผลกำไรตลอดจนเงินได้อันมีลักษณะทำนองเดียวกับเงินได้จากหุ้นตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐ ซึ่งบริษัทที่ทำการแบ่งให้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่

 

                (ข)          คำว่า "บริษัทไทยดำเนินกิจการอุตสาหกรรม" หมายถึง

 

                                1.             วิสาหกิจใดๆ ที่เกี่ยวกับ

 

                                                ก)                  การหัตถกรรม การประกอบและการแปรสภาพ

 

                                                ข)                  การก่อสร้าง วิศวกรรมโยธา และการต่อเรือ

 

                                                ค)                  การผลิตกระแสไฟฟ้า พลังน้ำ แก๊ส หรือการประปา หรือ

 

                                                ง)                  การเกษตร การป่าไม้และการประมงและการทำสวนหรือ

 

                                2.             วิสาหกิจอื่นใด ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับเอกสิทธิ์ที่ให้ตามกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมหรือ

 

                                3.             วิสาหกิจอื่นใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยอาจจะประกาศให้เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมอุตสาหกรรมเพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้

 

5.             มิให้ใช้บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 บังคับ ถ้าหากผู้รับเงินปันผลซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาดำเนินการค้าหรือธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่บริษัทจ่ายเงินปันผลเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่โดยผ่านสถานประกอบการถาวร ที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้น หรือให้บริการวิชาชีพในรัฐอีกรัฐหนึ่งจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นและการถือหุ้นอันเป็นเหตุแห่งการจ่ายเงินปันผลนั้นได้เกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการประจำในกรณีเช่นนี้ให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 15 บังคับแล้วแต่กรณี

 

6.             ในกรณีที่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับกำไรหรือเงินได้จากรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นไม่อาจตั้งบังคับภาษีใดๆ จากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้แก่บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นเว้นแต่หากได้จ่ายเงินปันผลแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในอีกรัฐหนึ่งหรือตราบเท่าที่การถือหุ้นในส่วนที่เกี่ยวกับเงินปันผลที่จ่ายนั้นได้เกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวร หรือสถานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น หรือไม่อาจกำหนดให้กำไรที่ยังมิได้แบ่งสรรของบริษัทนั้นต้องเสียภาษีกำไรที่ยังมิได้แบ่งสรร แม้ว่าเงินปันผลหรือกำไรที่ยังมิได้แบ่งสรรประกอบขึ้นด้วยกำไรหรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งบางส่วนหรือทั้งหมดก็ตาม

 

7.             ไม่มีความใดในข้อนี้จะแปลความที่จะห้ามมิให้รัฐผู้ทำสัญญา จัดเก็บภาษีจากกำไรหรือจากจำนวนอื่นใด ซึ่งกันไว้จากกำไรหรือซึ่งอาจจะถือว่าเป็นกำไรซึ่งได้จ่ายหรือส่งออกโดยสถานประกอบการถาวรของบริษัทที่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพิ่มจากภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วๆ ไปที่เก็บจากกำไรของสถานประกอบการดังกล่าว    

 

 

ข้อ 12

ดอกเบี้ย

 

1.             ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยนั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ดอกเบี้ยเกิดขึ้น และเป็นไปตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าผู้รับนั้นเป็นเจ้าของดอกเบี้ยที่ได้รับประโยชน์ ภาษีที่เก็บนั้นจะต้องไม่เกิน

 

                ก.            ร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยทั้งหมด ถ้า

 

                               (1)          ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทย และได้รับโดยสถาบันการเงินของฟิลิปปินส์ (รวมทั้งบริษัทประกันภัย)

 

                               (2)          ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ในส่วนที่เกี่ยวกับการออกพันธบัตรหุ้นกู้หรือข้อผูกมัดอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันต่อสาธารณะ

 

                ข.            ร้อยละ 15 ของดอกเบี้ยทั้งหมด ถ้าดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ และ

 

                ค.            ร้อยละ 25 ของดอกเบี้ยทั้งหมด ถ้าดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทย

 

3.             คำว่า "ดอกเบี้ย" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึงสิทธิเรียกร้องหนี้ทุกชนิด ไม่ว่าจะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรของลูกหนี้หรือไม่ และโดยเฉพาะเงินได้จากหลักทรัพย์รัฐบาล และเงินได้จากหุ้นหรือหุ้นกู้รวมทั้งพรีเมี่ยม และรางวัลอันผูกพันกับหลักทรัพย์หุ้นหรือหุ้นกู้นั้น รวมตลอดทั้งเงินได้ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกับเงินได้จากการให้กู้ยืมเงินตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐที่เงินได้นั้นเกิดขึ้น และให้รวมถึงดอกเบี้ยจากการขายผ่อนชำระเพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้ ค่าปรับสำหรับการชำระที่เกินกำหนดไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ย

 

4.             มิให้ใช้บทบัญญัติของวรรค 1 และวรรค 2 บังคับถ้าผู้รับดอกเบี้ยเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบการค้าหรือธุรกิจผ่านสถานประกอบการถาวรซึ่งตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นหรือประกอบอาชีพอิสระผ่านสถานประกอบการประจำและสิทธิเรียกร้องหนี้ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยนั้น เกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวร หรือสถานประกอบการประจำดังกล่าว ในกรณีเช่นว่านั้นให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 15 บังคับแล้วแต่กรณี

 

5.             ดอกเบี้ยจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ถ้าผู้จ่ายเป็นรัฐผู้ทำสัญญานั้นเอง ส่วนราชการองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์การตามกฎหมายหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญานั้น อย่างไรก็ตามในกรณีบุคคลที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการถาวร หรือสถานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันก่อให้เกิดหน้าที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยขึ้น และดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือสถานประกอบการประจำ ดอกเบี้ยเช่นว่านี้ให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรหรือสถานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่

 

6.             ในกรณีใดที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่จ่ายให้กันนั้นเมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้องหนี้อันเป็นมูลแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทบัญญัติของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงบทอื่นๆ แห่งอนุสัญญานี้ด้วย

 

7.             แม้จะมีบทของวรรค 2 ดอกเบี้ยซึ่งเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะได้รับยกเว้นภาษีจากรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก

 

8.             เพื่อประโยชน์แห่งวรรค 7 คำว่า "รัฐบาล"

 

                ก.           ในกรณีของประเทศฟิลิปปินส์ หมายความถึง

 

                               1.            รัฐบาลของประเทศฟิลิปปินส์ หมายความถึง

 

                               2.            ธนาคารกลางแห่งประเทศฟิลิปปินส์

 

                               3.             ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศฟิลิปปินส์

 

                               4.             สถาบันต่างๆ ซึ่งทุนทั้งหมดรัฐบาลของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าของ ซึ่งอาจตกลงกันเป็นคราวๆ ไประหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

                ข.            ในกรณีของประเทศไทยหมายความถึง

 

                                1.                   รัฐบาลแห่งประเทศไทย

 

                                2.                   ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

                                3.                   องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และ

 

                                4.                   สถาบันต่างๆ ซึ่งทุนทั้งหมดรัฐบาลแห่งประเทศไทยหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าของ ซึ่งอาจตกลงกันเป็นคราวๆ ไป ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

 

ข้อ 13

ค่าสิทธิ

 

1.             ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีในอีกรัฐหนึ่ง

 

2.             อย่างไรก็ตามค่าสิทธิเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งค่าสิทธินั้นได้เกิดขึ้นและตามกฎหมายของรัฐนั้นแต่ถ้าผู้รับเป็นผู้รับประโยชน์โดยตรงของค่าสิทธินั้น ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกิน

 

                ก.            ร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น ถ้าค่าสิทธินั้นได้จ่าย

 

                                (1)          โดยวิสาหกิจซึ่งจดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศฟิลิปปินส์และดำเนินการในกิจกรรมที่สรรแล้ว หรือ

 

                                (2)          โดยวิสาหกิจภายใต้การส่งเสริมของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทยหรือ

 

                                (3)          ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฟิล์มภาพยนตร์หรือเทปบันทึกภาพสำหรับโทรทัศน์หรือการกระจายเสียง

 

                ข.            ร้อยละ 25 ของจำนวนค่าสิทธิ ทั้งสิ้น สำหรับกรณีอื่นๆ

 

3.             คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึงจำนวนเงินที่ชำระชนิดใดๆ ที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ศิลป หรือวิทยาศาสตร์ รวมทั้งฟิล์มภาพยนตร์ หรือเทปภาพสำหรับโทรทัศน์หรือการกระจายเสียง สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แบบหรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตร หรือกรรมวิธีลับใดๆ เพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม การพาณิชย์หรือวิทยาศาสตร์ หรือข้อสนเทศ เกี่ยวกับประสบการณ์ทางอุตสาหกรรมการพาณิชย์หรือวิทยาศาสตร์

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ วรรค 2 ของข้อนี้มิให้ใช้บังคับ ถ้าผู้รับค่าสิทธิเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งผ่านสถานประกอบการถาวรที่ค่าสิทธินั้นเกิดขึ้น หรือประกอบอาชีพอิสระผ่านสถานประกอบการประจำอยู่ ณ ที่นั้น และสิทธิหรือทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิที่ชำระนั้นเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวรหรือสถานประกอบการประจำ ในกรณีเช่นนี้ให้ใช้บทของข้อ 7 หรือข้อ 15 ของอนุสัญญาฉบับนี้บังคับแล้วแต่กรณี

 

5.             ค่าสิทธินั้นให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เมื่อผู้จ่ายได้แก่รัฐนั้นเอง ส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ดีในกรณีบุคคลผู้จ่ายค่าสิทธินั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในการทำสัญญาให้มีการจ่ายค่าสิทธินั้นอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและค่าสิทธิเช่นว่านั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบถาวรนั้น ให้ถือว่าค่าสิทธิเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่

 

6.             ในกรณีใดที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ค่าสิทธิที่จ่ายเมื่อคำนึงถึงการใช้สิทธิหรือข้อสนเทศอันเป็นมูลแห่งการจ่ายแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทของข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่เงินจำนวนหลังในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงบทอื่นๆแห่งอนุสัญญานี้

 

 

ข้อ 14

ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สิน

 

1.             ผลได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ตามที่กล่าวถึงในข้อ 6 และได้ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่ง

 

2.             ผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นของสถานประกอบการธุรกิจประจำมีไว้ให้ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะบริการวิชาชีพอิสระ รวมทั้งผลได้จากการจำหน่ายสถานประกอบการถาวรเช่นว่านั้น (โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด) หรือสถานประกอบการธุรกิจประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่ง

 

3.             ผลได้ที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายเรือหรืออากาศยานที่ใช้ในการจราจรระหว่างประเทศหรือสังหาริมทรัพย์บรรดาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเดินเรือและอากาศยานเช่นว่านั้นให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น

 

4.             ผลได้จากการจำหน่ายหุ้นของบริษัท ซึ่งมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในรัฐนั้น ผลได้จากการจำหน่ายผลประโยชน์ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเงินทุนซึ่งมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง อาจเรียกเก็บภาษีได้ในรัฐนั้น

 

5.             รายได้จากการขายทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนหรือข้อสนเทศตามที่กล่าวถึงในวรรค 3 ของข้อ 13 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งรายได้นั้นเกิดขึ้น

 

6.             รายได้ที่กล่าวถึงในวรรค 5 ให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อจ่ายได้แก่รัฐนั่นเองส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ดีในกรณีบุคคลผู้จ่ายเงินได้นั้นไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีอยู่ซึ่งสถานประกอบการถาวรหรือสถานประกอบการประจำอันเกี่ยวข้องกับการที่จะต้องจ่ายเงินได้นั้น และเงินที่จ่ายนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือสถานประกอบการประจำให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการถาวรหรือสถานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่

 

7.             ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินใดๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในวรรค 1, 2, 3,4 และ 5 ให้เก็บภาษีได้เฉพาะแต่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งผู้จำหน่ายเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ ไม่มีข้อความใดๆ ในวรรคนี้จะห้ามรัฐผู้ทำสัญญามิให้จัดเก็บภาษีจากผลได้หรือรายได้จากการขายหรือโอนหุ้นและหลักทรัพย์อื่นๆ

 

 

 

ข้อ 15

บริการส่วนบุคคล

 

1.             ในบังคับบทของข้อ 16, 18, 19, 20 และ 21 เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอื่นที่คล้ายคลึงกันหรือเงินได้จากการบริการส่วนบุคคล (รวมทั้งบริการวิชาชีพ) ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้นเว้นไว้แต่ว่าการบริการดังกล่าวกระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าได้ให้บริการเช่นนั้นแล้วค่าตอบแทนหรือเงินได้ที่ได้รับจากการนั้นอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 อยู่ ค่าตอบแทนหรือเงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการบริการส่วนบุคคล (รวมทั้งบริการวิชาชีพ) ที่ได้ให้ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐแรกถ้า

 

                (ก)          ผู้รับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเมื่อรวมกันแล้วไม่เกิน 90 วัน ในกรณีการบริการด้านวิชาชีพและ 183 วัน ในกรณีการบริการด้านอื่นๆ ในปีปฏิทินที่เกี่ยวข้องและ

 

                (ข)          ค่าตอบแทนหรือเงินได้นั้นจ่ายโดยหรือในนามของบุคคลผู้ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก และ

 

                (ค)          ค่าตอบแทนหรือเงินได้นั้นมิได้ตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวร ซึ่งบุคคลผู้จ่ายค่าตอบแทนหรือเงินได้นั้นมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

3.             คำว่า "บริการวิชาชีพ" รวมถึงกิจกรรมอิสระทางวิทยาศาสตร์ วรรณคดี ศิลป การศึกษาหรือการสอนรวมทั้งกิจกรรมอิสระทางแพทย์ ทนายความ วิศวกร สถาปัตย์ ทันตแพทย์ และ นักบัญชี

 

4.             แม้จะมีบทก่อนๆ ของข้อนี้อยู่ค่าตอบแทนในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานเป็นลูกเรือหรืออย่างอื่นในเรือหรืออากาศยานที่ดำเนินกิจการด้านการจราจรระหว่างประเทศโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011