อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับ ภาษีเก็บจากเงินได้
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ มีข้อตกลงกันดังต่อไปนี้
อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับ แก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย
1. อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้ที่ตั้งบังคับในนามของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่ตั้งบังคับเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบทั้งหลายของเงินได้รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการเปลี่ยนมือสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ และภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนซึ่งรัฐวิสาหกิจเป็นผู้จ่ายให้ถือว่าเป็นภาษีที่เก็บจากเงินได้
3. ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับโดยเฉพาะได้แก่
(ก) ในกรณีประเทศไทย
(1) ภาษีเงินได้
(2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")
(ข) ในกรณีประเทศฟิลิปปินส์
ภาษีเงินได้ที่ตั้งบังคับภายใต้ส่วนที่ 2 ของประมวลกฎหมายภาษีในประเทศของประเทศฟิลิปปินส์ตามที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วและภาษีอื่นๆ ที่เก็บจากเงินได้โดยประเทศฟิลิปปินส์
(ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีฟิลิปปินส์")
4. อนุสัญญานี้จักใช้บังคับแก่ภาษีใดๆ ที่เหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกันซึ่งได้บังคับจัดเก็บเป็นการเพิ่มเติม หรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันนับจากวันที่ได้มีการลงนามในอนุสัญญานี้เมื่อสิ้นปีแต่ละปี เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาของแต่ละรัฐจะได้แจ้งให้แก่กันและกันทราบถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่สำคัญซึ่งมีขึ้นในกฎหมายภาษีของแต่ละรัฐ
บทนิยามทั่วไป
1. เพื่อประโยชน์ของอนุสัญญานี้เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
(ก) (1) คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและพื้นที่ใดๆ ซึ่งประชิดกับน่านน้ำอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยซึ่งได้กำหนดไว้ในกฎหมายไทยว่า เป็นสิทธิของราชอาณาจักรไทยในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้ผิวดินตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ
(2) คำว่า "ฟิลิปปินส์" หมายถึง สาธารณรัฐฟิลิปปินส์และใช้ในความหมายภูมิศาสตร์ เมื่อให้หมายถึงอาณาเขตทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
(ข) คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึงประเทศไทยหรือประเทศฟิลิปปินส์ แล้วแต่บริบทจะกำหนด
(ค) คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา กองมรดก ทรัสต์ บริษัทหรือคณะบุคคลอื่นใด
(ง) คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคลใดหรือหน่วยใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคลเพื่อประโยชน์ทางภาษี
(จ) คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายความตามลำดับว่าวิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและวิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
(ฉ) คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใดๆ โดยเรือหรืออากาศยาน โดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นเมื่อเรือหรืออากาศยานได้มีการดำเนินงานระหว่างสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น
(ช) คำว่า "ชนชาติ" หมายถึง
(1) บุคคลธรรมดาใดๆ ที่ครอบครองภาวะแห่งการเป็นพลเมืองหรือคนชนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(2) บุคคลผู้มีฐานะทางกฎหมายใดๆ ห้างหุ้นส่วนหรือสมาคมที่มีขึ้นตั้งขึ้นหรือรวมตัวขึ้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(ซ) คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายความถึง
(1) ในกรณีของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
(2) ในกรณีประเทศฟิลิปปินส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
(3) คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีไทยและภาษีฟิลิปปินส์แล้วแต่บริบทจะกำหนด
2. ในการใช้บังคับบทแห่งอนุสัญญานี้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใดๆ ที่มิได้นิยามไว้เป็นอย่างอื่นให้มีความหมายที่คำนั้นๆมีอยู่ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น เกี่ยวกับภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น แม้จะมีวรรคก่อนๆ อยู่ ถ้าความหมายของคำนั้นๆ ตามที่มีอยู่ในกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง แตกต่างไปจากความหมายที่มีอยู่ในกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐอาจร่วมกันกำหนดความหมายขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการซ้ำซ้อนของภาษีหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของอนุสัญญาฉบับนี้
มีถิ่นที่อยู่
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใดๆ ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นจำต้องเสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจดทะเบียนหรือโดยเกณฑ์อื่นใด ในทำนองเดียวกัน แต่คำนี้ไม่รวมถึงบุคคลใดๆ ผู้ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐผู้ทำสัญญาเพียงสืบเนื่องมาจากเงินได้ที่เกิดขึ้นหรือทุนซึ่งมีอยู่ในรัฐนั้น
2. ถ้าเนื่องจากเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรคหนึ่ง บุคคลธรรมดาคนใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้วินิจฉัยสภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้
(ก) ให้ถือว่าบุคคลธรรมดาผู้มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใด เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นถ้าบุคคลธรรมดาที่มีอยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)
(ข) ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญของบุคคลธรรมดาได้ก็ดี หรือถ้าไม่มีที่อยู่ถาวรของบุคคลธรรมดาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐก็ดี ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติ
(ค) ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือไม่มีอยู่เลยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ
(ง) ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐหรือมิได้เป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
3. ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลใดนอกเหนือจากบุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่บุคคลนั้นได้ก่อตั้งขึ้น
สถานประกอบการถาวร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะให้รวมถึง
(ก) สถานจัดการ
(ข) สาขา
(ค) สำนักงาน
(ง) โรงงาน
(จ) โรงช่าง
(ฉ) เหมืองแร่ บ่อน้ำมัน หรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสภาพที่อื่นใด ที่ใช้ในการขุดทรัพยากรธรรมชาติ
(ช) ที่ตั้งอาคาร หรือโครงการก่อสร้าง ซึ่งที่ตั้งหรือโครงการนั้นมีอยู่เป็นระยะเวลานานกว่า 6 เดือน
(ซ) โครงการประกอบหรือติดตั้งซึ่งมีอยู่นานกว่า 3 เดือน
(ฌ) สถานที่ซึ่งใช้เพื่อการขายสินค้า
(ญ) คลังสินค้าในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลใช้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาให้ผู้อื่น
(ฎ) การให้บริการรวมตลอดถึงการให้บริการปรึกษาของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่ง โดยผ่านลูกจ้างหรือบุคคลอื่นโดยกิจกรรมลักษณะเช่นว่านั้นได้มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง สำหรับโครงการเดียวกันหรือต่อเนื่องกันภายในระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะรวมกันแล้วเกินกว่า 183 วัน
3. แม้จะมีบทบัญญัติก่อนๆ ของข้อนี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" จะไม่ถือว่ารวมถึง
(ก) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ
(ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาจัดแสดงหรือส่งมอบ
(ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์แห่งการสนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น
(ง) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อประโยชน์แห่งการจัดซื้อของหรือสินค้าหรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น
(จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินการกิจกรรมซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือส่วนประกอบสำหรับวิสาหกิจ เช่นการโฆษณาหรือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
4. บุคคลผู้กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง (นอกจากตัวแทนที่มีสภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5) ให้ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของรัฐแรก
(ก) บุคคลนั้นมีและใช้อำนาจในการทำสัญญาอย่างเป็นปกติวิสัยซึ่งการทำสัญญาในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐแรกเว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของบุคคลนั้น จำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้า เพื่อวิสาหกิจนั้นหรือ
(ข) บุคคลนั้นได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยซึ่งมูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าอยู่ในรัฐแรกนั้น และดำเนินการส่งมอบของหรือสินค้าในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำหรือ
(ค) บุคคลนั้นจัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในรัฐแรกนั้นเพื่อวิสาหกิจนั้นเองหรือเพื่อวิสาหกิจและวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
5. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางนายหน้าตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน เพื่อความมุ่งประสงค์นี้ ตัวแทนหนึ่งใดจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระตามความหมายของวรรคนี้ ถ้าหากว่าตัวแทนเช่นว่านั้นได้กระทำการในการเป็นตัวแทนจะโดยทั้งหมดหรือเกือบจะโดยทั้งหมด เพื่อวิสาหกิจนั้นหรือเพื่อวิสาหกิจและกลุ่มวิสาหกิจอื่นซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ให้ใช้บทบัญญัติของวรรค 4 บังคับ