เมนูปิด

              อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและ ประเทศสาธารณรัฐออสเตรีย 
                 เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
                            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุน


รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสาธารณรัฐออสเตรีย

 

                 มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

 

                 ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

 

 

บทที่1

ขอบข่ายแห่งอนุสัญญา

 

 

ข้อ 1

ขอบข่ายด้านบุคคล

 

                 อนุสัญญานี้จะใช้บังคับกับบุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ 2

ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย

 

1.                              อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุนที่บังคับจัดเก็บในนามของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือในนามของส่วนราชการ หรือองค์การบริการส่วนท้องถิ่นของแต่ละรัฐโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ

 

2.             ภาษีที่บังคับจัดเก็บจากเงินได้และจากทุน ภาษีทั้งปวงที่จัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น จากทุนทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบทั้งหลายของเงินได้หรือของทุน รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุน ให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุน

 

3.             ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอนุสัญญานี้จะใช้บังคับ ได้แก่

 

                 (ก)          ในกรณีประเทศไทย

 

                                 (1)                ภาษีเงินได้

 

                                 (2)                ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และ

 

                                 (3)                ภาษีบำรุงท้องที่ (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")

 

                 (ข)          ในกรณีประเทศออสเตรีย

 

                                 (1)                ภาษีเงินได้ (die Einkommensteuer)

 

                                 (2)                ภาษีบริษัท (die Korperschaftsteuer)

 

                                 (3)                ภาษีอำนวยการ (die Aufsichtsratsabgabe)

 

                                 (4)                ภาษีทุน (die Vermogensteuer)

 

                                 (5)                ภาษีทรัพย์สินเก็บจากผู้ตาย (die Abgabe von Vermogen ; die der Erbschaftssteuer entzogen sind):

 

                                 (6)                ภาษีเก็บจากวิสาหกิจการค้าและอุตสาหกรรม รวมทั้งภาษีที่จัดเก็บจากจำนวนค่าจ้างทั้งสิ้น (die Gewerbesteuer einschlieBlich der Lohnsummensteuer)

 

                                 (7)                ภาษีที่ดิน (die Grundsteuer)

 

                                 (8)                ภาษีเก็บจากวิสาหกิจการเกษตรและการป่าไม้ (die Abgabe von land-und forstwirtschaftilichen Betrieben)

 

                                 (9)                การบริจาคจาวิสาหกิจการเกษตรและการป่าไม้ให้แก่กองทุนสำหรับความเสมอภาคของการรับภาระทาง ครอบครัว (die Beitrage von land-und forstwirtschaftlichen Betriebenzum Ausgleichsfonds fur Famiilienbeihilfen)

 

                                 (10)            ภาษีเก็บจากมูลค่าของที่ดินที่ว่างเปล่า (die Abgabe von bodenwert bei unbebauten Grundstucken)

 

4.             อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีใด ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญที่เก็บจากเงินได้หรือจากทุนซึ่งบังคับจัดเก็บภายหลังจากวันที่ได้ลงนามในอนุสัญญานี้เป็นการเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ผู้มี อำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะแจ้งให้แก่กันและกันทราบถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่สำคัญ ซึ่งมีขึ้นในกฎหมายภาษี อากรของแต่ละรัฐ

 

 

บทที่2

บทนิยาม

 

 

ข้อ 3

บทนิยามทั่วไป

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

                 (ก)               คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและรวมถึงพื้นที่ใด ๆ ซึ่งประชิดกับน่านน้ำ อาณาเขตของ ราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนด หรืออาจกำหนดในภายหลังให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิภายในพื้นที่นั้น ๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดิน และทรัพยากรธรรมชาติของตนภายในพื้นที่นั้น ๆ ได้

 

                 (ข)               คำว่า "ประเทศออสเตรีย" หมายถึง สาธารณรัฐออสเตรีย

 

                 (ค)               คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึงประเทศไทย หรือประเทศออสเตรียแล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                 (ง)                คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา กองมรดก บริษัทและคณะบุคคลอื่นใด ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี

 

                 (จ)                คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคลใด หรือหน่วยใดซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ

 

                 (ฉ)               คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง วิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ

 

                 (ช)               คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีไทยหรือภาษีออสเตรียแล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                 (ซ)               คำว่า "คนชาติ" หมายถึง

 

                                 (1)                บุคคลธรรมดาใด ๆ ที่มีสัญชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง

 

                                 (2)                นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคม และหน่วยอื่นใดที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้ บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง

 

                 (ฌ)              คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใด ๆ ทางเรือหรือทางอากาศยาน ซึ่งดำเนินการโดย วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นในกรณีที่เรือหรืออากาศยานนั้นดำเนินการระหว่างสถานที่ต่าง ๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น

 

                 (ญ)              คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" ในกรณีของประเทศไทย หมายถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน ที่ได้รับมอบอำนาจ และในกรณีของประเทศออสเตรีย หมายถึง รัฐมนตรีสหพันธ์ว่าการกระทรวงการคลัง

 

2.             ในการใช้บังคับอนุสัญญานี้ โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใด ๆ ที่มิได้นิยามไว้ในที่นั้นจะมีความหมาย ซึ่งคำนั้นมีอยู่ตาม กฎหมายของรัฐนั้น เกี่ยวกับภาษีที่อนุสัญญานี้ใช้บังคับ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

 

ข้อ 4

ผู้มีถิ่นที่อยู่

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใดซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่เสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจดทะเบียนบริษัท สถานจัดการ หรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่คำนี้ไม่รวมถึงบุคคลใดซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีในรัฐนั้นเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งในรัฐนั้น หรือทุนที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น

 

2.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้

 

                 (ก)               ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นมีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งตนมีที่อยู่ถาวร ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)

 

                 (ข)               ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งบุคคลนั้นมีศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้ หรือถ้าบุคคลธรรมดา นั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย

 

                 (ค)               ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือไม่มีอยู่ในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าเป็นผู้มี ถิ่นที่อยู่ของรัฐที่ตนเป็นคนชาติ

 

                 (ง)                ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือมิได้เป็นคนชาติของรัฐหนึ่งรัฐใด ให้เจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแก้ไขโดยความตกลงร่วมกัน

 

3.             โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลซึ่งมิใช่บุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้เจ้า หน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐคู่สัญญาแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

 

ข้อ 5

สถานประกอบการถาวร

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน

 

2.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" จะรวมถึงโดยเฉพาะ

 

                 (ก)               สถานจัดการ

 

                 (ข)               สาขา

 

                 (ค)               สำนักงาน

 

                 (ง)                โรงงาน

 

                 (จ)                โรงช่าง

 

                 (ฉ)               เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นใดที่มีการขุดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

 

                 (ช)               ที่ดินก่อสร้าง โครงการก่อสร้าง โครงการประกอบ หรือโครงการติดตั้งหรือกิจกรรมตรวจควบคุมเกี่ยวกับการนั้น หรือการจัดให้มีการบริการ รวมทั้งบริการให้คำปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง โดยผ่านลูกจ้างหรือบุคคลอื่น ทั้งนี้ ที่ดินโครงการหรือกิจกรรมในลักษณะนั้นมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันแล้วเกินกว่าหกเดือนภายในระยะเวลาสิบสองเดือน

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติก่อน ๆ ของข้อนี้อยู่ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มีให้ถือว่ารวมถึง

 

                 (ก)               การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น

 

                 (ข)               การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาจัดแสดงหรือส่งมอบ

 

                 (ค)               การเก็บรักษามูลภัณฑ์ สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการแปรรูป โดยอีกวิสาหกิจหนึ่ง

 

                 (ง)                การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อสิ่งของหรือสินค้า หรือเพื่อรวบรวมข้อ สนเทศให้กับวิสาหกิจนั้น

 

                 (จ)                การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา การให้ข้อสนเทศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือการสนับสนุนสำหรับวิสาหกิจนั้น

 

4.             บุคคล (นอกจากนายหน้า ตัวแทน การค้าทั่วไป) หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5 ผู้กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจะถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้า

 

                 (ก)               บุคคลนั้นมีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของ วิสาหกิจนั้น เว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่ แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น

 

                 (ข)               บุคคลนั้นจะได้เก็บรักษาในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งมูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นและ ดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำหรือ

 

                 (ค)               บุคคลนั้นจัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

5.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางนายหน้าตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระในกรณีที่บุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตนเพื่อความมุ่งประสงค์นี้ ตัวแทนหนึ่งใดจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าหากว่าตัวแทนเช่นว่านั้นได้ดำเนินกิจกรรมในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นตามทีกำหนดไว้ในวรรค 4 ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

6.             แม้จะมีบทบัญญัติก่อน ๆ ของข้อนี้อยู่ วิสาหกิจประกันภัยของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นในกรณีของการรับประกันภัยต่อ จะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐอีกรัฐหนึ่ง ถ้าวิสาหกิจนั้นเรียกเก็บเบี้ยประกันในอาณาเขตของรัฐนั้นหรือประกันการเสี่ยงภัยที่มีอยู่ ณ ที่นั้น โดยผ่านทางลูกจ้างหรือผ่านทางตัวแทน ซึ่งมิได้เป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ตามความหมาย ที่ปรากฏอยู่ในวรรค 5

 

7.             ข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุม หรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง.

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011