เมนูปิด

อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก
และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการเลี่ยงรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้

 

 

รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์กและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย

 

                มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญารัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงการเงินได้ฉบับใหม่

 

                ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

 

 

ข้อ 1
ขอบข่ายด้านบุคคล

 

                อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ 2
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย

1.             อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้ ที่ตั้งบังคับในนามของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือในนามของส่วนราชการ หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของแต่ละรัฐ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ

 

2.             ภาษีทั้งปวงที่ตั้งบังคับจัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบของเงินได้ รวมทั้ง ภาษีที่เก็บจากผลได้จากการขาย สังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุนให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้

 

3.             ภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งความตกลงนี้จะใช้บังคับ ได้แก่

 

                ก)            ในกรณีประเทศเดนมาร์ก

 

                                 (1)          ภาษีเงินได้ของรัฐ (indkomstskatten til staten)

 

                                 (2)          ภาษีเงินได้ของเทศบาลนคร (den kommunakleindkomstskat)

 

                                 (3)          ภาษีเงินได้ของเทศบาลจังหวัด (den amtskommunale indlkomstskat).

 

                                 (4)          ภาษีที่บังคับจัดเก็บภายใต้พระราชบัญญัติภาษีไฮโดรคาร์บอน (skatter i

                                               henhold til kulbrinteskatteloven) (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีเดนมาร์ก")

 

                ข)            ในกรณีประเทศไทย

 

                                (1)          ภาษีเงินได้

 

                                (2)          ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

 

                                (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")

 

4.             อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีใดๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญ ซึ่งหลังจากวันที่ลงนาม ในความตกลงนี้ จะได้ตั้งบังคับเพิ่มเติมจาก หรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะได้แจ้งแก่กันและกัน เพื่อให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาใดๆ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ

 

 

ข้อ 3
บทนิยามทั่วไป

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

                ก)            คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ " รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง ประเทศเดนมาร์ก หรือ

                               ประเทศไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                ข)            คำว่า "ประเทศเดนมาร์ก" หมายถึง ราชอาณาจักรเดนมาร์กรวมถึงพื้นที่ใดๆ นอกน่านน้ำทะเล

                               อาณาเขตของเดนมาร์ก ซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนด หรืออาจจะกำหนดภายใต้

                               กฎหมายเดนมาร์กให้เป็นพื้นที่ซึ่งประเทศเดนมาร์กอาจใช้สิทธิอธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับการ

                               สำรวจและแสวงประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติของพื้นดินท้องทะเล หรือดินใต้พื้นดินและน้ำ

                               เหนือพื้นดินและใน ส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมอื่นๆ เพื่อการสำรวจและแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

                               ของพื้นที่ นั้น คำนี้ไม่รวมถึงหมู่เกาะฟาร์โรและกรีนแลนด์

 

                ค)            คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและรวมถึงพื้นที่ใดๆซึ่งประชิดกับน่านน้ำ

                               อาณาเขตของราชอาณาจักรไทยซึ่งตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศกำหนด

                               ไว้หรืออาจจะกำหนดไว้ภายหลังให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิในส่วนที่เกี่ยวกับ

                               พื้นดินท้องทะเลหรือดินใต้พื้นดินและน้ำเหนือพื้นดินและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆได้

 

                ง)            คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา บริษัท คณะบุคคลและหน่วยใดๆที่พึงเก็บภาษีได้ภายใต้

                               กฎหมายภาษีที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่ง

 

                จ)            คำว่า "บริษัท" หมายถึงนิติบุคคลใดๆ หรือหน่วยใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคล เพื่อความมุ่งประสงค์

                               ในทางภาษี

 

                ฉ)            คำว่า " วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่ง" หมาย

                               ถึง วิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญา รัฐหนึ่งและวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้

                               มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ

 

                ช)            คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใดๆ ทางเรือ หรือทางอากาศ ยกเว้น

                               กรณีการเดินเรือหรือเดินอากาศยานระหว่างสถานที่ต่างๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น

 

                ซ)            คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึง

 

                               (1)            ในกรณีของประเทศเดนมาร์ก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงภาษีหรือผู้แทนที่ไดั

                                               รับมอบหมาย

 

                               (2)            ในกรณีของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้

                                               รับมอบหมาย

 

                ฌ)            คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีเดนมาร์กหรือภาษีไทยแล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                ญ)            คำว่า "คนชาติ" หมายถึง

 

                               (1)            บุคคลธรรมดาทั้งปวงที่มีสัญชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง

 

                               (2)            นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน หรือสมาคมที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นนั้นตามกฎหมายที่

                                               ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง

 

2.             ในการใช้บังคับอนุสัญญาที่กำหนดไว้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในเวลาใดๆ คำใดๆที่มิได้นิยามไว้ในความตกลงนี้ให้มีความหมายซึ่งคำนั้นมีอยู่ในขณะนั้นตามกฎหมายของรัฐนั้น เพื่อประโยชน์ของการเก็บภาษีซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

 

ข้อ 4
ผู้มีถิ่นที่อยู่

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใดๆผู้ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจัดการใหญ่ สถานที่ก่อตั้ง หรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่คำนี้มิให้รวมถึงบุคคลใดผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในรัฐนั้นด้วยเหตุเฉพาะการมีเงินได้จากแหล่งในรัฐนั้นแต่เพียงอย่างเดียว

 

2.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาผู้ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้

 

                (ก)          ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีที่อยู่ถาวรเท่านั้นถ้าบุคคลนั้นมีที่อยู่

                              ถาวรในทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทาง

                              เศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)

 

                (ข)          ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้หรือถ้าบุคคลธรรมดา

                              นั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่บุคคลนั้นมีที่อยู่

                              เป็นปกติวิสัย

 

                (ค)          ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐหรือไม่มีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐ ให้

                              ถือว่า เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐที่บุคคลนั้นเป็นคนชาติ

 

                (ง)          ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของทั้งสองรัฐ หรือมิได้เป็นคนชาติของทั้งสองรัฐ เจ้าหน้าที่ผู้มี

                              อำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะแก้ไขปัญหา โดยความตกลงร่วมกัน

 

3.             ในกรณีที่ตามเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลนอกเหนือจากบุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาพยายามแก้ไขปัญหาและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่จะใช้อนุสัญญากับบุคคลเช่นว่านั้นโดยความตกลงร่วมกัน ในกรณีไม่มีข้อตกลงเช่นว่านั้น เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ ในแต่ละรัฐคู่สัญญาให้ถือว่าบุคคลนั้นไม่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐคู่สัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

 

ข้อ 5
สถานประกอบการถาวร

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน

 

2.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะรวมถึง

 

                (ก)          สถานจัดการ

 

                (ข)          สาขา

 

                (ค)          สำนักงาน

 

                (ง)          โรงงาน

 

                (จ)          โรงช่าง

 

                (ฉ)          เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นใดที่ใช้ในการขุดค้นทรัพยากร

                              ธรรมชาติ

 

                (ช)          ที่ทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ หรือไร่สวน

 

                (ซ)          คลังสินค้า ในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาสินค้าสำหรับ

                              บุคคลอื่น

 

                (ฌ)         ที่ตั้งอาคาร ,โครงการก่อสร้าง, โครงการติดตั้งหรือประกอบ หรือ กิจกรรมตรวจควบคุมเกี่ยวกับ

                              โครงการนั้น ในกรณีที่ตั้งโครงการหรือกิจกรรมนั้นดำเนินการติดต่อกันเป็นระยะเวลาเดียวหรือ

                              หลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน

 

                (ญ)         การให้การบริการ รวมทั้งบริการให้คำปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดโดย

                              ผ่านทางลูกจ้างหรือบุคลากรอื่น ทั้งนี้ กิจกรรมในลักษณะนั้นดำเนินติดต่อกัน สำหรับโครงการ

                              เดียวกันหรือโครงการที่เกี่ยวเนื่อง ภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเป็นระยะเวลาเดียวหรือหลาย

                              ระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน ในระยะเวลาสิบสองเดือนใดๆ

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติก่อนๆของข้อนี้อยู่ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" ไม่ให้ถือว่า รวมถึง

 

                ก)            การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา หรือการจัดแสดง หรือ

                              การส่งมอบสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น

 

                ข)            การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการ

                              เก็บรักษา หรือการจัดแสดงหรือการส่งมอบ

 

                ค)            การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้

                              วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ

 

                ง)            การมีสถานธุรกิจประจำเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อสิ่งของ หรือสินค้า หรือรวบรวมข้อ

                              สนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น

 

                จ)            การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา การให้ข้อสนเทศการวิจัย

                              ทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วน

                              ประกอบให้แก่วิสาหกิจนั้น

 

                ฉ)           การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อประกอบกิจกรรมที่กล่าวถึงในอนุวรรค(ก) ถึง (จ) โดยมี

                              เงื่อนไขว่า กิจกรรมทั้งมวลของสถานธุรกิจประจำ ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมเข้ากันนี้ มีลักษณะ

                              เป็นการเตรียมการหรือส่วนประกอบ

 

4.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และวรรค 2 เมื่อบุคคลนอกเหนือจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5 กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้ถือว่าวิสาหกิจนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้าบุคคลนั้น

 

                (ก)          มีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของวิสาหกิจ

                              นั้น เว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆของบุคคลนั้นจำกัดอยู่เฉพาะการซื้อสิ่งของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจ

                              นั้น

 

                (ข)          ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งมูลภัณฑ์ของ

                              สิ่งของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น และดำเนินการตามคำสั่งซื้อ หรือทำการส่งมอบของใน

                              นามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ

 

                (ค)          ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้จัดหาคำสั่งซื้ออย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกทั้งหมดหรือ

                              เกือบทั้งหมด เพื่อวิสาหกิจนั้นหรือเพื่อวิสาหกิจนั้น และวิสาหกิจอื่นๆซึ่งอยู่ในความควบคุมของ

                              วิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

5.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าวิสาหกิจดังกล่าวดำเนินธุรกิจในอีกรัฐหนึ่ง นั้น โดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไปหรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำการอันเป็นปกติในธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม กรณีกิจกรรมของตัวแทนดังกล่าวได้กระทำทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ในนามวิสาหกิจนั้น หรือในนามวิสาหกิจนั้นกับวิสาหกิจอื่น ซึ่งถูกควบคุมโดยวิสาหกิจนั้น หรือมีการควบคุมผลประโยชน์ในวิสาหกิจนั้น บุคคลเช่นว่านี้จะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระตามความหมายของวรรคนี้

 

6.             ข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือซึ่งถูกควบคุมโดยบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น(ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011