เลขที่หนังสือ | : กค 0811/ก.130 |
วันที่ | : 6 สิงหาคม 2544 |
เรื่อง | : การเร่งรัดภาษีอากรค้าง ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12, มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080, มาตรา 715, มาตรา 289,มาตรา 702 |
ข้อหารือ | : จังหวัดภูเก็ตได้หารือปัญหาการเร่งรัดภาษีอากรค้าง ดังนี้ 1. กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดได้รับหมายเรียกตามประมวลรัษฎากรหรือถูก ตรวจปฏิบัติการตามหนังสือแจ้งการเข้าตรวจปฏิบัติการ ต่อมาห้างฯ ได้เปลี่ยนหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ เนื่องจากหุ้นส่วนผู้จัดการได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนของห้างฯ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินฯ ได้ ประเมินภาษีอากรสำหรับระยะเวลาที่หุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่าดำรงตำแหน่งอยู่ และได้แจ้งการประเมินไป ยังห้างฯ กรมสรรพากรจะเร่งรัดหนี้ภาษีอากรค้างกับหุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่าได้หรือไม่ 2. กรณีผู้ค้างภาษีมีบัญชีกระแสรายวันอยู่กับธนาคาร โดยเปิดวงเงิน เบิกเกินบัญชีไว้จำนวน 2 ล้านบาท และผู้ค้างภาษีได้นำอสังหาริมทรัพย์ไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกัน การชำระหนี้ในวงเงินจำนวนดังกล่าว แต่ผู้ค้างภาษีเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารยังไม่เต็มวงเงิน กรมสรรพากรจะอายัดเงินในส่วนที่เหลือของวงเงินเบิกเกินบัญชีนั้นได้หรือไม่ 3. กรณีหากกรมสรรพากรได้ยึดทรัพย์สินที่ผู้ค้างภาษีได้นำไปจำนองต่อ ธนาคารตามข้อ 1(2) แล้วนำมาขายทอดตลาดได้เงิน 2.2 ล้านบาท แต่ผู้ค้างภาษีมีหนี้จำนองอยู่ต่อ ธนาคารเป็นเงินต้น 1.9 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.5 แสนบาท รวมเป็นหนี้จำนวนทั้งสิ้น 2.15 ล้านบาท กรมสรรพากรจะต้องนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด ไปชำระหนี้จำนองแก่ธนาคารไม่เกินวงเงิน 2 ล้านบาท หรือต้องชำระทั้งหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดจำนวน 2.15 ล้านบาท หากเหลือเงินเท่าใด จึงจะนำมาชำระค่าภาษีอากร สำนักงานสรรพากรภาค เห็นว่า ตามข้อ 1 กรมสรรพากรเร่งรัด หนี้ภาษีอากรค้างกับหุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่าได้ ตามข้อ 2 กรมสรรพากรอายัดสิทธิเรียกร้องของผู้ค้างภาษี ได้หากได้รับความยินยอมจากธนาคาร และตามข้อ 3 กรมสรรพากรต้องนำเงินจากการขายทอดตลาด ชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดด้วย |
แนววินิจฉัย | : 1. กรณีตามข้อ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีหนี้ภาษีอากรค้างที่เกิดขึ้นก่อนที่หุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่า ออกจากการเป็นหุ้นส่วนของห้างฯ กรมสรรพากรเร่งรัดหนี้ภาษีอากรค้างกับห้างฯ หุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่า และหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ได้ ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ในส่วนของหุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่ามี ภาระความรับผิดในหนี้ของห้างฯ เพียง 2 ปี นับแต่เมื่อออกจากการเป็นหุ้นส่วนของห้างฯ ตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2. กรณีตามข้อ 2 การเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินที่เหลือตามสัญญากับ ธนาคารของผู้ค้างภาษีเป็นสิทธิเฉพาะตัว และเป็นการก่อหนี้มิใช่เกิดสิทธิเรียกร้องให้ได้รับชำระหนี้อันจะ เป็นทรัพย์สินของผู้ค้างภาษี จึงไม่มีเงินที่จะเป็นทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีตามบัญชีของธนาคารที่ กรมสรรพากรจะดำเนินการอายัด ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรได้ 3. กรณีตามข้อ 3 เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้าง ภาษีจำนวน 2.2 ล้านบาท จะต้องไปชำระหนี้จำนองพร้อมดอกเบี้ย จำนวน 2.15 ล้านบาท ตามมาตรา 715 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก่อนตามลำดับแห่งบุริมสิทธิตามมาตรา 289 และมาตรา 702 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เงินที่เหลือจากการชำระหนี้จำนองพร้อมดอกเบี้ยจึงจะ นำมาชำระหนี้ภาษีอากร |
เลขตู้ | : 64/30767 |