เมนูปิด

คำสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 124/2546
เรื่องการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการเป็นตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง)



            เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและแนะนำเกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการให้บริการเป็นตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ตามข้อ 3/1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2544 และการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

            ข้อ 1  กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ประกอบกิจการเป็นตัวแทนของผู้นำเข้าและผู้ส่งออกในการดำเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า โดยจัดทำใบขนสินค้า ยื่นใบขนสินค้าต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ณ ด่านศุลกากรเพื่อให้มีการตรวจปล่อยสินค้า และส่งมอบสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศให้แก่ผู้นำเข้าหรือส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศให้แก่ผู้ส่งออก การประกอบกิจการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการให้บริการตามมาตรา 77/2 และมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำนวณภาษีตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร
            ค่าบริการที่ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าจ่ายให้แก่ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทยและผู้จ่ายเงินเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคล หรือนิติบุคคลอื่น ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าบริการ และกรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เป็นมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10.0 ของค่าบริการทั้งนี้ ตามข้อ 3/1 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.101/2544 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2544

            ข้อ 2 กรณีผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าได้จ่ายเงินจ่ายล่วงหน้า (Advance Payment) ให้แก่ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เพื่อดำเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในขณะที่จ่ายเงินจ่ายล่วงหน้า
                      กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากรในนามของผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าให้แก่ส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล หรือนิติบุคคลซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
                      กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากรในนามของผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในนามของผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า โดยเจ้าของสินค้ามีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53
                      กรณีผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้ามีความประสงค์จะให้ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 แทนเจ้าของสินค้าก็สามารถกระทำได้ โดยตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง)ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) และระบุชื่อ ที่อยู่เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของเจ้าของสินค้าด้วย และตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.53 เป็นรายฉบับแต่ละรายของเจ้าของสินค้า โดยต้องระบุชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของเจ้าของสินค้าในช่อง “ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย” และระบุชื่อตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ในช่อง “ผู้จ่ายเงิน” ซึ่งกรมสรรพากรจะออกใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้า และตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องส่งสำเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบเสร็จรับเงินจากการยื่นแบบ ภ.ง.ด.53 และสำเนาแบบ ภ.ง.ด.53 ให้แก่เจ้าของสินค้าด้วย

            ข้อ 3  ให้นำความในข้อ 2 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่มาใช้บังคับสำหรับกรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายเงินของตนไปก่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากรในนามของผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า และต่อมาเมื่อตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้เรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากรคืนจากเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำนวนเงินดังกล่าว และเจ้าของสินค้าผู้จ่ายเงินไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

            ข้อ 4  กรณีตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) จ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ต้องแสดงเอกสารหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายค่าใช้จ่ายในนามของเจ้าของสินค้า และเมื่อตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เรียกเก็บค่าบริการจากเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการทั้งหมดที่ได้รับหรือพึงได้รับ และผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากค่าบริการทั้งหมดที่จ่าย
                  ตัวอย่าง ในการดำเนินพิธีการศุลกากรแทนผู้นำเข้าและผู้ส่งออกซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายเงินของตนไปก่อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากร โดยค่าใช้จ่ายที่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้า ได้แก่ การจ่ายค่าภาระ (Port Handling Charge) ค่าเช่าพื้นที่ ค่าใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ และค่าขนส่ง ให้แก่ท่าเรือ คลังสินค้า หรือการจ่ายค่าภาษี ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่กรมศุลกากร จำนวน 10,000 บาท นอกจากนี้ ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้จ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าและค่าใช้จ่ายตามประเพณีซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของสินค้ายอมรับว่ามีการจ่ายจริงอีกจำนวน 4,000 บาท เมื่อการดำเนินงานแล้วเสร็จ ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ได้ออกใบแจ้งหนี้เรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายและค่าบริการจากเจ้าของสินค้า โดยระบุรายการค่าใช้จ่ายแยกเป็นค่าใช้จ่ายที่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าจำนวน 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าจำนวน 4,000 บาท และค่าบริการจำนวน 2,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 16,000 บาท กรณีดังกล่าวตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และเจ้าของสินค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
                  (1) ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการจำนวน 6,000 บาท ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้าจำนวน 4,000 บาท และค่าบริการจำนวน 2,000 บาท
                  (2) เจ้าของสินค้ามีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) จากค่าบริการทั้งหมดที่จ่ายจำนวน 6,000 บาท
                  (3) ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการศุลกากรที่เรียกเก็บจากเจ้าของสินค้าจำนวน 10,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีใบเสร็จรับเงินในนามของเจ้าของสินค้า และเมื่อเจ้าของสินค้าจ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท ดังกล่าวให้แก่ตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง) เจ้าของสินค้าไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย

 

 

สั่ง ณ วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2546
ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล
อธิบดีกรมสรรพากร

หน้าจอหลักบริการสารสรรพากร : : หน้าจอหลัก ม.ค. 46 : : หน้าต่อไป

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 06-02-2003