เมนูปิด

กฎ  ก.พ.

ฉบับที่  16  (พ.ศ. 2540)

ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535

ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์

-------------------------

 

                      อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 (5)   มาตรา 125  และมาตรา 126   แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535   ก.พ. จึงออกกฎ  ก.พ.  ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี  ดังต่อไปนี้

                      ข้อ 1   กฎ  ก.พ.  นี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                      ข้อ 2   การอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย  ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ  ก.พ. นี้

                      ข้อ 3   การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ  ให้อุทธรณ์ได้สำหรับตนเองเท่านั้น  จะอุทธรณ์แทนผู้อื่นหรือมอบหมายให้ผู้อื่นอุทธรณ์แทนไม่ได้

                      การอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือแสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลในการอุทธรณ์ให้เห็นว่าได้ถูกลงโทษโดยไม่ถูกต้อง  ไม่เหมาะสม  หรือไม่เป็นธรรมอย่างไร  และลงลายมือชื่อและที่อยู่ของผู้อุทธรณ์

                      ในการอุทธรณ์  ถ้าผู้อุทธรณ์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นพิจารณาของ  อ.ก.พ.จังหวัด   อ.ก.พ. กรม   อ.ก.พ.กระทรวง  หรือ  ก.พ.  แล้วแต่กรณี  ให้แสดงความประสงค์ไว้ในหนังสืออุทธรณ์  หรือจะทำเป็นหนังสือต่างหากก็ได้  แต่ต้องยื่นหนังสือของแถลงการณ์ด้วยวาจานั้นต่อ  อ.ก.พ.  หรือ  ก.พ. โดยตรง  ภายในสามสิบวันนับแต่วันยืนหรือส่งหนังสืออุทธรณ์

                      ข้อ 4   เพื่อประโยชน์ในการอุทธรณ์  ผู้จะอุทธรณ์มีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนหรือของผู้สอบสวนได้  ส่วนการขอตรวจหรือคัดบันทึกถ้อยคำบุคคล  พยานหลักฐานอื่น  หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง  ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษที่จะอนุญาตหรือไม่  โดยให้พิจารณาถึงประโยชน์ในการรักษาวินัยของข้าราชการ  ตลอดจนเหตุผลและความจำเป็นเป็นเรื่อง ๆ ไป

                      ข้อ 5   ผู้อุทธรณ์มีสิทธิคัดค้านอนุกรรมการ  รองประธานอนุกรรมการ  หรือกรรมการ  ผู้พิจารณาอุทธรณ์  ถ้าผู้นั้นมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด  ดังต่อไปนี้

                                            (1)   รู้เห็นเหตุการณ์ในการกระทำผิดวินัยที่ผู้อุทธรณ์ถูกลงโทษ

                                            (2)   มีส่วนได้เสียในการกระทำผิดวินัยที่ผู้อุทธรณ์ถูกลงโทษ

                                            (3)   มีสาเหตุโกรธเคืองผู้อุทธรณ์

                                            (4)   เป็นผู้กล่าวหาหรือเป็นผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษ  หรือเป็นคู่สมรส  บุพการี  ผู้สืบสันดาน  หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือมารดากับผู้กล่าวหาหรือผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษ              

                      การคัดค้านอนุกรรมการ   รองประธานอนุกรรมการ   หรือกรรมการผู้พิจารณาอุทธรณ์นั้น  ต้องแสดงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสืออุทธรณ์  หรือแจ้งเพิ่มเติมเป็นหนังสือก่อนที่ อ.ก.พ.  หรือ  ก.พ.  แล้วแต่กรณี  เริ่มพิจารณาอุทธรณ์

                      เมื่อมีเหตุหรือมีการคัดค้านตามวรรคหนึ่ง  อนุกรรมการ  รองประธานอนุกรรมการ  หรือกรรมการผู้นั้นจะขอถอนตัวไม่ร่วมพิจารณาอุทธรณ์นั้นก็ได้  ถ้าอนุกรรมการ รองประธานอนุกรรมการ  หรือกรรมการผู้นั้นมิได้ขอถอนตัว  ให้ประธานอนุกรรมการ  หรือประธานกรรมการ  แล้วแต่กรณี  พิจารณาข้อเท็จจริงที่คัดค้าน  หากเห็นว่าข้อเท็จจริงนั้นน่าเชื่อถือ  ให้แจ้งอนุกรรมการ  รองประธานอนุกรรมการ  หรือกรรมการผู้นั้นทราบและมิให้ร่วมพิจารณาอุทธรณ์นั้น  เว้นแต่ประธานอนุกรรมการ  หรือประธานกรรมการ  แล้วแต่กรณีพิจารณาเห็นว่า  การให้อนุกรรมการ  รองประธานอนุกรรมการ  หรือกรรมการผู้นั้นร่วมพิจารณาอุทธรณืดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า  เพราะจะทำให้ได้ความจริงและเป็นธรรม  จะอนุญาตให้อนุกรรมการ  รองประธานอนุกรรมการ  หรือกรรมการผู้นั้นร่วมพิจารณาอุทธรณ์นั้นก็ได้

                      ข้อ 6   เพื่อประโยชน์ในการนับระยะเวลาอุทธรณ์  ให้ถือวันที่ผู้ถูกลงโทษ  ลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งลงโทษเป็นวันทราบคำสั่ง

                      ถ้าผู้ถูกลงโทษไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งลงโทษ  และมีการแจ้งคำสั่งลงโทษให้ผู้ถูกลงโทษทราบกับมอบสำเนาคำสั่งลงโทษให้ผู้ถูกลงโทษ  แล้วทำบันทึกลงวันเดือนปี  เวลา  และสถานที่  ที่แจ้ง  และลงลายมือชื่อผู้แจ้งพร้อมทั้งพยานรู้เห็นไว้เป็นหลักฐานแล้ว  ให้ถือวันที่แจ้งนั้นเป็นวันทราบคำสั่ง

                      ถ้าไม่อาจแจ้งให้ผู้ถูกลงโทษลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งลงโทษได้โดยตรง  และได้แจ้งเป็นหนังสือส่งสำเนาคำสั่งลงโทษทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้ถูกลงโทษ  ณ  ที่อยู่ของผู้ถูกลงโทษซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ   โดยส่งสำเนาคำสั่งลงโทษไปให้สองฉบับเพื่อให้ผู้ถูกลงโทษเก็บไว้หนึ่งฉบับ  และให้ผู้ถูกลงโทษลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบคำสั่งลงโทษส่งกลับคืนมาเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานหนึ่งฉบับ  ในกรณีเช่นนี้  เมื่อล่วงพ้นสามสิบวันนับแต่วันที่ปรากฎในใบตอบรับทางไปรษณีย์ลงทะเบียนว่าผู้ถูกลงโทษได้รับเอกสารดังกล่าวหรือมีผู้รับแทนแล้ว  แม้ยังไม่ได้รับสำเนาคำสั่งลงโทษฉบับที่ให้ผู้ถูกลงโทษลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบคำสั่งลงโทษกลับคืนมา  ให้ถือว่าผู้ถูกลงโทษได้ทราบคำสั่งแล้ว

                      ข้อ 7   การอุทธรณ์ต่อ  อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม   หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  ให้ทำหนังสืออุทธรณ์ถึงประธาน  อ.ก.พ.  พร้อมกับสำเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับ   โดยออกนามจังหวัด  กรม  หรือกระทรวง  แล้วแต่กรณี  และยื่นที่ศาลกลางจังหวัดหรือส่วนราชการนั้น

                      การอุทธรณ์ต่อ  ก.พ.  ให้ทำหนังสืออุทธรณ์ถึงประธาน  ก.พ.  หรือ  เลขาธิการ  ก.พ.  พร้อมกับสำเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับ  และยื่นที่สำนักงาน ก.พ.

                      การยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์  ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรือส่งผ่านผู้บังคับบัญชาก็ได้  และให้ผู้บังคับบัญชานั้นดำเนินการตามข้อ 11

                      ในกรณีที่มีผู้นำหนังสืออุทธรณ์มายื่นเอง  ให้ผู้รับหนังสืออกใบรับหนังสือ  ประทับตรารับหนังสือและลงทะเบียนรับหนังสือไว้เป็นหลักฐานในวันที่รับหนังสือตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ  และให้ถือวันที่รับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าวเป็นวันยื่นหนังสืออุทธรณ์

                      ในกรณีที่ส่งหนังสืออุทธรณ์ทางไปรษณีย์  ให้ถือวันที่ที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางออกใบรับฝากเป็นหลักฐานฝากส่ง หรือวันที่ที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับที่ซองหนังสือเป็นวันส่งหนังสืออุทธรณ์

                      เมื่อได้ยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์ไว้แล้ว  ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรือส่งคำแถลงการณ์  หรือเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่  อ.ก.พ. จังหวัด   อ.ก.พ. กรม   อ.ก.พ. กระทรวง  หรือ  ก.พ.  แล้วแต่กรณี  เริ่มพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้  โดยยื่นหรือส่งตรงต่อ  อ.ก.พ.  หรือ  ก.พ.

                      ข้อ 8   อุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้ต้องเป็นอุทธรณ์ที่ถูกต้องในสาระสำคัญตามข้อ 3  และข้อ 7  และยื่นหรือส่งภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย

                      ในกรณีที่มีปัญหาว่าอุทธรณ์รายใดเป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่  ให้ อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม   อ.ก.พ.กระทรวง  หรือ  ก.พ. แล้วแต่กรณี  เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย

                      ในกรณีที่  อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม   อ.ก.พ.กระทรวง  หรือ  ก.พ.  มีมติไม่รับอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไว้พิจารณา  ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  รัฐมนตรีเจ้าสังกัด  หรือสำนักงาน  ก.พ.  แล้วแต่กรณี  แจ้งมตินั้นให้ผู้อุทธรณ์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว

                 ในกรณีที่  อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม   อ.ก.พ.กระทรวง  หรือ  ก.พ.  มีมติตามวรรคสาม  ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์มตินั้นต่อ  ก.พ.  ได้อีกชั้นหนึ่ง  ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบมติ  อ.ก.พ. ดังกล่าว  และให้นำข้อ 7  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                      การอุทธรณ์มติต่อ  ก.พ.  ตามวรรคสี่  ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์  ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด  แล้วแต่กรณี  ก็ได้  ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด  แล้วแต่กรณี  ส่งหนังสืออุทธรณ์มติพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง  เช่น  ความเห็นและมติ   ตลอดจนสำเนารายงานการประชุมของ  อ.ก.พ.   หลักฐานการรับทราบมติ  อ.ก.พ. ของผู้อุทธรณ์  หนังสืออุทธรณ์คำสั่งลงโทษ  หลักฐานการรับทราบคำสั่งลงโทษของผู้อุทธรณ์  และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งมติของผู้อุทธรณ์ไปให้สำนักงาน  ก.พ.  โดยเร็ว

                      ในกรณีที่  ก.พ.  มีมติยื่นตามมติของ อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม   หรือ อ.ก.พ.กระทรวง  ที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไว้พิจารณา  หรือกรณีที่  ก.พ. มีมติให้รับอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไว้พิจารณา   ให้สำนักงาน  ก.พ.  แจ้งให้ผู้อุทธรณ์  และประธาน  อ.ก.พ. ที่เกี่ยวข้องทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว

                      ในกรณีที่  ก.พ.  มีมติให้รับอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไว้พิจารณา  ให้ อ.ก.พ. จังหวัด  อ.ก.พ. กรม  หรือ  อ.ก.พ. กระทรวง  ดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เพื่อมีมติตามข้อ 13  ต่อไป

                      ข้อ 9   ผู้อุทธรณ์จะขอถอนอุทธรณ์ก่อนที่  อ.ก.พ. จังหวัด   อ.ก.พ. กรม   อ.ก.พ. กระทรวง  หรือ  ก.พ.  แล้วแต่กรณี   พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นก็ได้  โดยทำเป็นหนังสือยื่นหรือส่งตรงต่อ อ.ก.พ.  หรือ  ก.พ.  เมื่อได้ถอนอุทธรณ์แล้ว  การพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นอันระงับ

                      ข้อ 10   ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดจังหวัด  กรม  หรือกระทรวงอื่น  ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ  อ.ก.พ. จังหวัด   อ.ก.พ. กรม   อ.ก.พ. กระทรวง  ที่ผู้อุทธรณ์ได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดนั้น

                      ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดจังหวัด  กรม หรือกระทรวงอื่นหลังจากได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว และ  อ.ก.พ. จังหวัด   อ.ก.พ. กรม   อ.ก.พ. กระทรวง  เจ้าสังกัดเดิมยังมิได้มีมติตามข้อ 13  ให้ส่งเรื่องอุทธรณ์และเอกสารหลักฐานตามข้อ 12  ไปให้  อ.ก.พ.  ตามวรรคหนึ่งเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อไป

                      ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้ย้ายหรือไปสังกัดจังหวัด  กรม  หรือกระทรวงอื่นหลังจากที่  อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  เจ้าสังกัดเดิมได้มีมติตามข้อ 13  แล้ว   แต่ผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  หรือรัฐมนรีเจ้าสังกัด  แล้วแต่กรณี  ยังมิได้สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมตินั้น  ให้ส่งเรื่องอุทธรณ์และเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งมติที่ได้มีไปแล้ว  และรายงานการประชุม  อ.ก.พง ไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด  แล้วแต่กรณี   ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคนใหม่เป็นผู้สั่งหรือปฏิบัติตามข้อ 15

                      ข้อ 11   ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้รับหนังสืออุทธรณ์ที่ได้ยื่นหรือส่งตามข้อ 7 วรรคสาม  ให้ผู้บังคับบัญชานั้นส่งหนังสืออุทธรณ์ต่อไปยังผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษภายในสามวันทำการนับแต่วันได้รับหนังสืออุทธรณ์  และให้ผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษจัดส่งหนังสืออุทธรณ์ดังกล่าว  พร้อมทั้งสำเนาหลักฐานการรับทราบคำสั่งลงโทษของผู้อุทธรณ์  สำนาวนการสืบสวนหรือการพิจารณาในเบื้องต้นตามมาตรา 99  และสำนวนการดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 102  พร้อมทั้งคำชี้แจงของผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษ (ถ้ามี)  ไปยังประธาน  อ.ก.พ.จังหวัด  ประธาน  อ.ก.พ.กรม  ประธาน  อ.ก.พ.กระทรวง  หรือสำนักงาน  ก.พ.  แล้วแต่กรณี  ภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันได้รับหนังสืออุทธรณ์

                      ข้อ 12   การพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 125 (1)  (2)  และ (3)  ให้  อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  แล้วแต่กรณี  พิจารณาจากสำนวนการสืบสวนหรือการพิจารณาในเบื้องต้นตามมาตรา 99  และสำนวนการดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 102  และในกรณีจำเป็นและ       สมควรอาจขอเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม รวมทั้งคำชี้แจงจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ  หน่วยงานอื่นของรัฐ  ห้างหุ้นส่วน  บริษัท  หรือบุคคลใด ๆ  หรือขอให้ผู้แทนหน่วยราชการ  รัฐวิสาหกิจ  หน่วยงานอื่นของรัฐ  ห้างหุ้นส่วน  บริษัท  ข้าราชการ  หรือบุคคลใด ๆ  มาให้ถ้อยคำหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาได้

                      ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ขอแถลงการณ์ด้วยวาจา  หาก  อ.ก.พ. พิจารณาเห็นว่าการแถลงการณ์ด้วยวาจาไม่จำเป็นแก่การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์  จะให้งดการแถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้

                      ในกรณีที่นัดให้ผู้อุทธรณ์มาแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อที่ประชุม ให้แจ้งให้ผู้ดำรงตำแหน่งที่สั่ง         ลงโทษหรือเพิ่มโทษทราบด้วยว่า  ถ้าประสงค์จะแถลงแก้ก็ให้มาแถลงหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นผู้แทนมาแถลงแก้ด้วยวาจาต่อที่ประชุมครั้งนั้นได้  ทั้งนี้  ให้แจ้งล่วงหน้าตามควรแก่กรณี  และเพื่อประโยชน์ในการแถลงแก้ดังกล่าว  ให้ผู้ดำรงตำแหน่งที่สั่งลงโทษหรือเพิ่มโทษ  หรือผู้แทนเข้าฟังคำแถลงการณ์ด้วยวาจาของผู้อุทธรณ์ได้

                      ในการพิจารณาอุทธรณ์  ถ้า  อ.ก.พ.จังหวัด  อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  เห็นสมควรที่จะต้องสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความถูกต้องและเหมาะสมตามความเป็นธรรม  ให้มีอำนาจสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมในเรื่องนั้นได้ตามความจำเป็น  โดยจะสอบสวนเองหรือแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้สอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมแทนก็ได้ หรือกำหนดประเด็นหรือข้อสำคัญที่ต้องการทราบส่งไปให้ผู้สอบสวนเดิมทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้

                 ในการสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติม  ถ้า  อ.ก.พ.จังหวัด   อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  หรือคณะกรรมการสอบสวนที่ได้รับแต่งตั้งตามวรรคสี่  เห็นสมควรส่งประเด็นหรือข้อสำคัญใดที่ต้องการทราบไปสอบสวนพยานหลักฐานซึ่งอยู่ต่างท้องที่  ให้มีอำนาจกำหนดประเด็นหรือ       ข้อสำคัญนั้นส่งไปเพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานในท้องที่นั้นทำการสอบสวนแทนได้

                      การสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติม  หรือส่งประเด็นหรือข้อสำคัญไปเพื่อให้ผู้สอบสวนเดิมหรือหัวหน้าส่วนราชกาชหรือหัวหน้าหน่วยงานซึ่งอยู่ต่างท้องที่ดำเนินการตามวรรคสี่และวรรคห้าในเรื่องเกี่ยวกับกรณีกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 102 วรรคสอง  หรือกรณีกล่าวหาตามมาตรา 114 (4)  หรือมาตรา 115  ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการสอบสวนพิจารณาตามมาตรา 102 วรรคเจ็ด  หรือมาตรา 115 วรรคสาม  แล้วแต่กรณี  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                      ข้อ 13   เมื่อ  อ.ก.พ.จังหวัด   อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 125 (1) (2)  หรือ (3)  แล้ว

                                            (1)   ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษถูกต้องและเหมาะสมกับความผิดแล้ว  ให้มีมติยกอุทธรณ์

                                            (2)  ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด  และเห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง  แต่ควรได้รับโทษหนักขึ้น  ให้มีมติให้เพิ่มโทษเป็นสถานโทษหรืออัตราโทษที่หนักขึ้น

                                            (3)  ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด  และเห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง  ควรได้รับโทษเบาลง  ให้มีมติให้ลดโทษเป็นถานโทษหรืออัตราโทษที่เบาลง

                                            (4) ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด  และเห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง   ซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยเล็กน้อย  และมีเหตุอันควรงดโทษ  ให้มีมติให้สั่งงดโทษโดยให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้

                                            (5)  ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้อง  และเห็นว่าการกระทำของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นความผิดวินัยหรือพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าผู้อุทธรณ์กระทำผิดวินัย  ให้มีมติให้ยกโทษ

                                            (6)  ถ้าเห็นว่าข้อความในคำสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้มีมติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความให้เป็นการถูกต้องเหมาะสม

                                            (7)  ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด  และเห็นว่ากรณี        มีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้อุทธรณ์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง  ให้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 102 วรรคสาม  แต่ถ้าเป็นกรณีที่  อ.ก.พ.จังหวัด  หรือ  อ.ก.พ.กรม  มีความเห็นดังกล่าวและ                      ผู้อุทธรณ์ดำรงตำแหน่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด  หรืออธิบดี  แล้วแต่กรณี  ที่จะดำเนินการตามมาตรา 102 วรรคสาม  ให้มีมติให้รายงานตามลำดับถึงผู้มีอำนาจตามมาตรา 102 วรรคสาม  เพื่อดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อไป

                                            ในกรณีที่เห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงกรณีความผิดที่ปรากฎชัดแจ้งตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.  หรือเห็นว่าผู้อุทธรณ์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและไม่มีการดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 102  และ กฎ ก.พ. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณาแล้ว  ให้มีมติให้เพิ่มโทษเป็นปลดออก  หรือไล่ออกจากราชการตามมาตรา 104  หรือให้ออก  ปลดออก  หรือไล่ออกจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน  ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535  ใช้บังคับ  แล้วแต่กรณี   แต่ถ้าเป็นกรณีที่  อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.จังหวัด  มีความเห็นดังกล่าว  และ                  ผู้อุทธรณ์ดำรงตำแหน่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของ  อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.จังหวัด  ตามมาตรา 104 (2)  หรือ  (3)   ให้มีมติให้รายงานตามลำดับถึงผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52  เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

                                            (8)  ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม  โดยเห็นว่าผู้อุทธรณ์มีกรณีที่สมควรแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือให้ออกจากราชการตามมาตรา 114 (4)  มาตรา 115  หรือมาตรา 116  ให้นำ (7)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                                            (9)  ถ้าเห็นว่าสมควรดำเนินการโดยประการอื่นใด  เพื่อให้มีความถูกต้องตามกฎหมายและมีความเป็นธรรม  ให้มีมติให้ดำเนินการได้ตามควรแก่กรณี

                      การออกจากราชการของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นเหตุที่จะยุติการพิจารณาอุทธรณ์  แต่จะมีมติตาม (2)  หรือ (8)  มิได้  และถ้าเป็นการออกจากราชการเพราะตายจะมีมติตาม (7) มิได้ด้วย

                      ในกรณีที่มีผู้ถูกลงโทษทางวินัยในความผิดที่ได้กระทำร่วมกัน และเป็นความผิดในเรื่องเดียวกันโดยมีพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างเดียวกัน  เมื่อผู้ถูกลงโทษคนใดคนหนึ่งใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ          ดังกล่าว  และผลการพิจารณาเป็นคุณแก่ผู้อุทธรณ์  แม้ผู้ถูกลงโทษคนอื่นจะไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์หากพฤติการณ์ของผู้ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์เป็นเหตุในลักษณะคดีอันเป็นเหตุเดียวกับกรณีของผู้อุทธรณ์แล้วให้มีมติให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ได้รับการพิจารณาการลงโทษให้มีผลในทางที่เป็นคุณเช่นเดียวกับผู้อุทธรณ์ด้วย

                      ข้อ 14  ในกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ 13 (7) หรือ (8)  เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนพิจารณาเสร็จแล้ว  ให้ส่งเรื่องให้  อ.ก.พ.จังหวัด   อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทวง  แล้วแต่กรณี  เพื่อพิจารณามีมติตามข้อ 13  ต่อไป

                      ข้อ 15  เมื่อ  อ.ก.พ.จังหวัด   อ.ก.พ.กรม  หรือ  อ.ก.พ.กระทรวง  ให้มีมติตามข้อ 13  แล้วให้ผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด  แล้งแต่กรณี  สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมตินั้นในโอกาสแรกที่ทำได้  ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นจะให้มีการรับรองรายงานการประชุมก่อนก็ได้  และเมื่อได้สั่งหรือปฏิบัติตามมติดังกล่าวแล้ว  ให้แจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว                              

                      ข้อ 16  ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัด  อธิบดี  หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด  สั่งตามข้อ 15   โดยสั่งยกอุทธรณ์  สั่งลดโทษ  หรือสั่งงดโทษ   ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์ต่อไปมิได้  แต่ถ้าสั่งเพิ่มโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการ  ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์หรือร้องทุกข์  แล้วแต่กรณี  ได้อีกชั้นหนึ่ง

                      ข้อ 17  การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ในกรณีที่อุทธรณ์ต่อ  ก.พ.  ตามมาตรา 125 (4)  และ มาตรา 126  ให้นำข้อ  12 วรรคหนึ่ง  วรรคสอง  และวรรคสาม  และข้อ 13  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

                      ข้อ 18  เมื่อ  ก.พ. ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 125 (4)  และ มาตรา 126  และมีมติเป็นประกานใดแล้ว  ให้สำนักงาน  ก.พ.  รายงานนายกรัฐมนตรี  เพื่อพิจารณาสั่งการตามมาตรา 126 วรรคหนึ่ง  ต่อไปโดยเร็ว

                      ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับมติของ ก.พ. และ  ก.พ. พิจารณาความเห็นของนายก           รัฐมนตรีแล้วยืนยันตามมติเดิม  ให้สำนักงาน  ก.พ.  รายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 126 วรรคหนึ่ง  โดยเร็ว

                      เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการตามมติของ  ก.พ.  หรือคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาวินิจฉัยมีมติตามมาตรา 126 วรรคหนึ่ง  เป็นประกานใดแล้ว  ให้สำนักงาน  ก.พ.  แจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบเป็นหนังสือพร้อมทั้งแจ้งให้กระทรวง  ทบวง  กรม  ที่เกี่ยวข้องทราบ  หรือดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี  หรือมติคณะรัฐมนตรีตามาตรา 126 วรรคสาม  โดยเร็ว

                      ข้อ 19  การนับระยะเวลาตามกฎ  ก.พ.  นี้   สำหรับเวลาเริ่มต้น  ให้นับวันถัดจากวันแรกแห่งเวลานั้นเป็นวันเริ่มนับระยะเวลา  ส่วนเวลาสุดสิ้น  ถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการให้นับวันเริ่มเปิดทำการใหม่เป็นวันสุดท้ายแห่งระยะเวลา

 

 

 

                                                                                                            ให้ไว้  ณ  วันที่  21  มีนาคม  พ.ศ. 2540

                                                                                                                      พลเอก  ชวลิต  ยงใจยุทธ

                                                                                                                               นายกรัฐมนตรี

                                                                                                                               ประธาน  ก.พ.

 

 

หมายเหตุ  เหตุผลในการประกาศในกฎ  ก.พ.  ฉบับนี้   คือ   โดยที่มาตรา 125  และมาตรา 126  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535  กำหนดว่า  การอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ  ก.พ.  จึงจำเป็นต้องออกกฎ  ก.พ.  นี้

 

                 1.   นำส่งโดยหนังสือสำนักงาน ก.พ.  ที่ นร 0709.3/ว 12  วันที่  15  พฤษภาคม  2540

                 2.   ประกาศราชกิจจานุเบกษา  ฉบับกฤษฎีกา  เล่ม 114  ตอนที่ 13 ก  วันที่ 21 เมษายน  2540

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 26-05-2017