อนุสัญญา
รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอาร์เมเนียและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
มีความปรารถนาที่จะจัดทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุน
ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ
1. อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุนที่ตั้งบังคับจัดเก็บในนามของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของแต่ละรัฐ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่ตั้งบังคับจัดเก็บจากเงินได้และจากทุนทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบของเงินได้ หรือของทุน รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนทั้งสิ้นซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้จ่าย ตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุนให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุน
3. ภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอนุสัญญานี้จะใช้บังคับโดยเฉพาะ ได้แก่ ก) ในกรณีอาร์เมเนีย (1) ภาษีกำไร (2) ภาษีเงินได้ และ (3) ภาษีทรัพย์สิน (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า ภาษีอาร์เมเนี่ยน)
ข) ในกรณีประเทศไทย (1) ภาษีเงินได้ และ (2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า ภาษีไทย)
4. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีใดๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญซึ่งใช้บังคับหลัง จากวันที่ลงนามในอนุสัญญานี้ โดยตั้งบังคับเพิ่มเติมจากหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะได้แจ้งแก่กันและกันในระยะเวลาที่สมควรเพื่อให้ทราบถึง ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น (ก) คำว่า รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และ รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หมายถึง อาร์เมเนีย หรือประเทศไทยแล้วแต่บริบทจะกำหนด
(ข) คำว่าอาร์เมเนียหมายถึงสาธารณรัฐอาร์เมเนียและเมื่อใช้ในความหมายทางภูมิศาสตร์ หมายถึงอาณาเขตรวมถึงน่านน้ำภายในซึ่งสาธารณรัฐอาร์เมเนียใช้อำนาจอธิปไตย ครอบคลุมถึง และมีเขตอำนาจครอบคลุมถึงตามกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่าง ประเทศ
(ค) คำว่าประเทศไทยหมายถึงราชอาณาจักรไทยและรวมถึงพื้นที่ทางทะเลซึ่งประชิดกับ ทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยซึ่งตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่าง ประเทศกำหนดไว้หรืออาจจะกำหนดไว้ภายหลังให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้ สิทธิในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้พื้นดิน และทรัพยากรธรรมชาติใน พื้นที่นั้น ๆ ได้
(ง) คำว่า บุคคล รวมถึงบุคคลธรรมดา บริษัทและคณะบุคคลใดๆ ตลอดจนหน่วยงานใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยภาษีภายใต้กฎหมายภาษีที่ใช้บังคับใน แต่ละรัฐผู้ทำสัญญา
(จ) คำว่า บริษัท หมายถึง นิติบุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคล เพื่อ ความมุ่งประสงค์ในทางภาษี
(ฉ) คำว่า วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และ วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หมายถึงวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและวิสาหกิจที่ ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ
(ช) คำว่า ภาษี หมายถึง ภาษีไทยหรือภาษีอาร์เมเนี่ยนแล้วแต่บริบทจะกำหนด
(ซ) คำว่า คนชาติ หมายถึง (1) บุคคลธรรมดาทั้งปวงที่มีสัญชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง (2) นิติบุคคล สมาคมหรือหน่วยอื่นใดที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นนั้นตามกฎหมาย ที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(ฌ) คำว่า การจราจรระหว่างประเทศ หมายถึง การขนส่งใดๆโดยเรือเดินทะเล เรือ อากาศยาน ยานพาหนะทางบกหรือรถไฟ ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญา รัฐหนึ่ง ยกเว้นกรณีการขนส่งเช่นว่านั้นได้ดำเนินการระหว่างสถานที่ต่างๆ ในรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่งเท่านั้น และ
(ญ) คำว่า เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ หมายถึง (1) ในกรณีของอาร์เมเนียรัฐมนตรีว่าการกระทรวงภาษี หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย (2) ในกรณีของประเทศไทยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับ มอบหมาย
2. ในการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งคำใดๆที่มิได้นิยามไว้ในอนุสัญญานี้เว้นแต่ บริบทกำหนดเป็นอื่นให้มีความหมายตามที่คำนั้นมีอยู่ตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีของรัฐนั้นในส่วน ของภาษีซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับ
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า ผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหมายถึง บุคคลใดๆ ผู้ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานที่ก่อตั้ง สถานจัดการใหญ่ หรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน และให้รวมถึงรัฐนั้น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของรัฐนั้นด้วย แต่คำนี้มิให้รวมถึงบุคคลใดผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในรัฐนั้นด้วยเหตุเฉพาะการมีเงินได้จากแหล่งในรัฐนั้นแต่เพียงอย่างเดียว
2. ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาผู้ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังกล่าวดังต่อไปนี้ (ก) ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่เฉพาะในรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีที่อยู่ถาวร ถ้าบุคคล นั้นมีที่อยู่ถาวรในทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่เฉพาะในรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์ ทาง ส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)
(ข) ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐซึ่งบุคคลนั้นมีศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญหรือถ้าบุคคลธรรมดา นั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่เฉพาะในรัฐที่ บุคคลนั้นมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย
(ค) ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐหรือไม่มีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้ง สองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่เฉพาะในรัฐที่บุคคลนั้นเป็นคนชาติ
(ง) ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของทั้งสองรัฐหรือมิได้เป็นคนชาติของทั้งสองรัฐเจ้าหน้าที่ผู้มี อำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะพยายามแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
3. ในกรณีที่ตามเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลนอกเหนือจากบุคคลธรรมดาในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ จะถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่บุคคลนั้นได้ก่อตั้งขึ้น
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้ คำว่า สถานประกอบการถาวร หมายถึง สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
2. คำว่า สถานประกอบการถาวร โดยเฉพาะรวมถึง (ก) สถานจัดการ (ข) สาขา (ค) สำนักงาน (ง) โรงงาน (จ) โรงช่าง (ฉ) เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นใดที่ใช้ในการขุดค้นทรัพยากร ธรรมชาติ (ช) คลังสินค้าในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาสินค้า สำหรับบุคคลอื่น
3. (ก) ที่ตั้งอาคาร โครงการก่อสร้าง โครงการติดตั้งหรือโครงการประกอบหรือกิจกรรม ตรวจ ควบคุมที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการดังกล่าว กรณีที่ตั้งโครงการหรือกิจกรรมนั้นดำรงอยู่ ชั่วระยะเวลาหนึ่งเกินกว่า 6 (หก) เดือน
(ข) การให้บริการรวมตลอดถึงการให้บริการปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ผ่านลูกจ้างหรือพนักงานอื่นซึ่งกิจกรรมในลักษณะเช่นว่านั้นดำรงอยู่เพื่อโครงการเดียวกัน หรือ โครงการที่เกี่ยวเนื่องกันในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งในชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลาย ระยะเวลารวมกัน เกินกว่า 6 (หก) เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือนใด ๆ
4. แม้จะมีบทบัญญัติก่อนหน้าของข้อนี้อยู่ คำว่า สถานประกอบการถาวร ไม่ให้ถือว่ารวมถึง ก) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาหรือการจัดแสดงสิ่ง ของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น
ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ใน การเก็บรักษาหรือการจัดแสดง
ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ ให้วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ
ง) การมีสถานธุรกิจประจำเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อสิ่งของ หรือสินค้า หรือรวบรวม ข้อสนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น
จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินการเพื่อกิจกรรมอื่นใด ซึ่ง มีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบให้แก่วิสาหกิจนั้น
ฉ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อดำเนินกิจกรรมที่กล่าวถึงในอนุวรรค (ก) ถึง (จ) โดยมี เงื่อนไขว่า กิจกรรมทั้งมวลของสถานธุรกิจประจำ ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมเข้ากันนี้มี ลักษณะ เป็นการเตรียมการหรือส่วนประกอบ
5. แม้จะมีบทของวรรค 1, 2และ3 อยู่ บุคคลหนึ่งนอกเหนือจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 7 กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจะถือว่าวิสาหกิจนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกถ้าบุคคลนั้น (ก) มีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนาม วิสาหกิจ นั้น เว้นไว้แต่ว่า กิจกรรมต่างๆของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เพียงการซื้อสิ่งของหรือสินค้าเพื่อ วิสาหกิจ
(ข) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกนั้น ซึ่ง มูลภัณฑ์ของสิ่งของหรือสินค้าที่เป็นของวิสาหกิจและดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือทำ การส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นเป็นประจำ หรือ
(ค) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้จัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐแรกนั้น ซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมด หรือ เกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั้นเองหรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความ ควบคุม ของวิสาหกิจนั้นหรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
6. แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อนๆ ของข้อบทนี้ วิสาหกิจประกันภัยของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เว้นแต่ที่ประกอบการรับประกันภัยต่อ จะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมในอาณาเขตของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น หรือการรับประกันความเสี่ยงซึ่งมีอยู่ในรัฐนั้นกระทำโดยผ่านผู้แทนซึ่งมิใช่ตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ตามความหมายของวรรค 7
7. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าวิสาหกิจดังกล่าวดำเนินธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทาง นายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไปหรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระโดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเช่นว่านั้นได้ กระทำการอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม เมื่อกิจกรรมของตัวแทนดังกล่าวได้กระทำทั้ง หมดหรือเกือบทั้งหมดในนามวิสาหกิจนั้น หรือวิสาหกิจอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น บุคคลเช่นว่านี้จะไม่ถือเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็น อิสระตามความหมายของวรรคนี้
8. ข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือซึ่งถูกควบคุมโดยบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถาน ประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง |