เมนูปิด

ข้อ 11
ดอกเบี้ย

1.             ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีก รัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

2.             อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้น
และตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าผู้รับประโยชน์ในดอกเบี้ยเป็นบริษัทซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในรัฐ
ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกิน
                (ก)           ร้อยละ 10 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น ถ้าดอกเบี้ยนั้นได้รับโดยสถาบันการเงินใดๆ
                                (รวมทั้งบริษัทประกันภัย) หรือถ้าดอกเบี้ยนั้นเกิดจากการให้กู้ยืมหรือเกิดจากสิทธิ
                                เรียกร้องในหนี้ที่ค้ำประกันโดยรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก และ
                (ข)           ร้อยละ 15 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น ในกรณีอื่นๆ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
                                ของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะวางแนวปฏิบัติเกี่ยวกับข้อจำกัดนี้โดย
                                ความตกลงร่วมกัน

3.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 2 ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่าย ให้แก่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก

                เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งวรรคนี้ คำว่า " รัฐบาล"
                (ก)           ในกรณีของรัฐสุลต่านโอมาน หมายถึง รัฐบาลแห่งรัฐสุลต่านโอมาน และให้
                                รวมถึง
                                (1)           ธนาคารกลางแห่งโอมาน
                                (2)           กองทุนสำรองของรัฐ
                                (3)           องค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น และ
                                (4)           สถาบันต่าง ๆ ซึ่งทุนทั้งหมดของสถาบันเป็นของรัฐบาลแห่งรัฐสุลต่านโอมาน หรือส่วนราชการ หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นใดๆ ตามที่อาจตกลงกันเป็นคราว ๆ ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ
                (ข)           ในกรณีของประเทศไทย หมายถึง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และให้รวมถึง
                                (1)           ธนาคารแห่งประเทศไทย
                                (2)           ธนาคารเพื่อการส่งออก-นำเข้าแห่งประเทศไทย
                                (3)           องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และ
                                (4)           สถาบันต่าง ๆ ซึ่งทุนทั้งหมดของสถาบันเป็นของรัฐบาลแห่ราชอาณาจักรไทย หรือ ส่วนราชการ หรือองค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่นใด ๆ ตามที่อาจตกลงกัน  เป็นคราวๆระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ

4.              คำว่า "ดอกเบี้ย" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง เงินได้จากสิทธิเรียกร้องในหนี้ทุกชนิดไม่ว่าจะมี หลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรของลูกหนี้หรือไม่ และ โดยเฉพาะเงินได้จากหลักทรัพย์รัฐบาล และเงินได้จากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ รวมทั้งพรีเมี่ยม และรางวัลอันผูกพันกับหลักทรัพย์ พันธบัตร หรือหุ้นกู้เช่นว่านั้น รวมทั้งเงินได้ที่มีลักษณะ ทำนองเดียวกับเงินได้จากการให้กู้ยืมเงินตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่ง เงินได้นั้นเกิดขึ้น ค่าปรับเนื่องจากความล่าช้าในการจ่ายเงินไม่ถือเป็นดอกเบี้ยตาม ความมุ่งประสงค์ของข้อนี้

5.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าเจ้าของประโยชน์ในดอกเบี้ยเป็นผู้มีถิ่น ที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้น โดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้นหรือกระทำการในอีกรัฐหนึ่งโดยให้บริการ
ส่วนบุคคลที่เป็นอิสระจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น และสิทธิเรียกร้องในหนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่จ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำนั้น ในกรณีเช่นว่านี้จะใช้บทบัญญัติของ ข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี

6.             จะถือว่าดอกเบี้ยเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง ส่วนราชการ องค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่นหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีบุคคลที่จ่าย
ดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการ ถาวรหรือฐานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยนั้น เกิดขึ้น และดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการ ประจำนั้น ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐซึ่งสถานประกอบการถาวรหรือฐาน ประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่

7.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและเจ้าของประโยชน์หรือ ระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น จำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายนั้น เมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้อง ในหนี้อันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนที่พึงตกลงกัน ระหว่างผู้จ่ายกับเจ้าของผู้รับประโยชน์หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของ ข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย

8.             บทบัญญัติของข้อนี้จะไม่ใช้บังคับหากวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่หรือบางส่วนของบุคคลใดๆ เกี่ยวกับการตั้งหรือโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยจ่ายมีขึ้นเพื่อแสวงหา ผลประโยชน์จากข้อนี้ในการตั้งหรือโอนนั้น


ข้อ 12
ค่าสิทธิ

1.             ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีก รัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

2.             อย่างไรก็ตาม ค่าสิทธิเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้น และตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าผู้รับประโยชน์จากค่าสิทธิเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำ
สัญญาอีกรัฐหนึ่ง ภาษีทีเรียกเก็บนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละสิบห้า (15) ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น

3.             คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้หมายถึง การจ่ายไม่ว่าชนิดใดๆที่ได้รับเป็นค่าตอบแทน เพื่อการใช้ หรือสิทธิในการใช้ ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ศิลปะ หรือ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งซอฟแวร์ ฟิล์มภาพยนตร์ หรือ ฟิล์มหรือ เทปที่ใช้สำหรับ การกระจายเสียงทางวิทยุ หรือโทรทัศน์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แบบหรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตรลับหรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรมพาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อข้อสนเทศ (หรือค่าบริการทางเทคนิค) เกี่ยวกับประสบการณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์

4.             บทบัญญัติของวรรค 1 และวรรค 2 จะไม่ใช้บังคับถ้าเจ้าของประโยชน์ของค่าสิทธิ เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งค่าสิทธิ
นั้นเกิดขึ้น โดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้นหรือประกอบการในรัฐผู้ทำ สัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระจากฐานประกอบการประจำที่ตั้ง อยู่ ในรัฐนั้น และสิทธิหรือทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับค่าสิทธิที่จ่ายนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ในกรณีเช่นว่านี้ให้ใช้ บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี

5.             ค่าสิทธิให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เมื่อผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง ส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีบุคคลผู้จ่าย ค่าสิทธินั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง อันก่อให้เกิด พันธกรณีที่จะต้องจ่ายค่าสิทธิที่เกิดขึ้น และค่าสิทธินั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ค่าสิทธิเช่นว่านั้นให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งสถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่

6.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและเจ้าของประโยชน์ หรือ ระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น จำนวนค่าสิทธิที่จ่ายให้กันนั้น เมื่อคำนึงถึงการใช้สิทธิ หรือข้อสนเทศอันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายและเจ้าของประโยชน์ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติ ของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะกับเงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้ คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย

7.             บทบัญญัติของข้อนี้จะไม่ใช้บังคับ หากวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ หรือบางส่วนของบุคคลใดๆ เกี่ยวกับการก่อตั้งหรือโอนสิทธิในส่วนของการจ่ายค่าสิทธิมีขึ้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากข้อนี้ในการก่อตั้งหรือโอนนั้น


ข้อ 13
ผลได้จากทุน

1.             ผลได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ตามที่ระบุ ไว้ในข้อ 6 และตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง นั้น

2.             ผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบ การถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือ สังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับฐานประกอบการประจำ ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ รวมทั้งผลได้จากการจำหน่ายสถานประกอบการถาวรเช่นว่านั้น (โดยลำพังหรือรวมกับ วิสาหกิจทั้งหมด)  หรือฐานประกอบการประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

3.             ผลได้ที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายเรือ หรืออากาศยานที่ใช้ ในการจราจรระหว่างประเทศหรือสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเกี่ยวกับเรือ หรืออากาศยานเช่นว่านั้น จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น

4.             ผลได้ที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายตู้สินค้า (รวมถึงรถพ่วง เรือท้องแบน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับการขนส่งตู้สินค้า) ตามที่ระบุไว้ในวรรค 3 ของข้อ 8 จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น

5.             ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินใดๆ นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ในวรรค 1,2, 3 และ 4 ของข้อนี้และวรรค 3 ของข้อ 12 ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งผู้จำหน่ายมีถิ่นที่อยู่

6.             ในกรณีผลได้ที่ได้รับโดยสายการบินกัลฟ์แอร์ ให้ใช้บทบัญญัติของวรรค 3 บังคับเฉพาะส่วนที่พึงถือว่าเป็นผลได้ของรัฐสุลต่านโอมานภายใต้สัญญาจัดตั้งกัลฟ์แอร์


ข้อ 14
บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ

1.             เงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือ กิจกรรมอิสระอื่นๆในลักษณะเดียวกันให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น
เว้นแต่ว่าผู้นั้นมีอยู่เป็นปกติซึ่งฐานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ในการประกอบกิจกรรมของผู้นั้น หากผู้นั้นมีฐานประกอบการ เช่นว่านั้น เงินได้นั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง เฉพาะจำนวนเงินได้เท่าที่พึงถือว่าเป็นของฐานประกอบการประจำนั้น

2.             คำว่า "บริการวิชาชีพ" ให้รวมถึงโดยเฉพาะกิจกรรมอิสระด้านวิทยาศาสตร์ วรรณกรรม ศิลปะ การศึกษาหรือการสอน รวมทั้งกิจกรรมอิสระของแพทย์ ทนายความ วิศวกร
สถาปนิก ทันตแพทย์ และนักบัญชี


ข้อ 15
บริการส่วนบุคคลที่ไม่เป็นอิสระ

1.             ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ 16, 18 19 20 และ 21 ของความตกลงนี้ เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำ สัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น เว้นแต่การจ้างงานนั้นได้กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หากมีการจ้างงานเช่นว่านั้น ค่าตอบแทนที่ได้รับจากการนั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

2.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 ค่าตอบแทนที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานที่กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้า
                (ก)           ผู้รับเงินได้นั้นอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง สำหรับระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ
                                เวลารวมกันไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบสาม (183) วัน ภายในระยะเวลาสิบสองเดือนใดๆ
                                ซึ่งเริ่มต้นหรือสิ้นสุดในปีในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง และ
                (ข)           ค่าตอบแทนนั้นจ่ายโดย หรือในนามของนายจ้างผู้ซึ่งมิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำ
                                สัญญาอีกรัฐหนึ่ง และ
                (ค)           ค่าตอบแทนนั้นมิได้ตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำซึ่งนายจ้างมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

3.             แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อนๆ ของข้อนี้ ค่าตอบแทนที่ได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงาน ที่กระทำในเรือ หรืออากาศยาน ในการจราจรระหว่างประเทศ จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น


ข้อ 16
ค่าป่วยการของกรรมการ

                ค่าป่วยการของกรรมการ และเงินที่ชำระอย่างอื่นอันคล้ายคลึงกัน ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับตามความสามารถในฐานะหรือในนามของสมาชิกใน คณะกรรมการอำนวยการของบริษัท ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้เก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น


ข้อ 17
นักแสดงและนักกีฬา

1.             โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของข้อ 14 และ 15 เงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในฐานะนักแสดง อาทิ นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ หรือ นักดนตรีหรือในฐานะนักกีฬาจากกิจกรรมส่วนบุคคลของตนที่กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีก รัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

2.             ในกรณีเงินได้ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมส่วนบุคคลที่กระทำโดยนักแสดงหรือนักกีฬาตาม ความสามารถของตนนั้น มิได้เกิดขึ้นกับตัวนักแสดงหรือนักกีฬา แต่เกิดขึ้นกับบุคคลอื่น โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของข้อ 7, 14 และ 15 เงินได้นั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำ สัญญาที่กิจกรรมนั้นๆของนักแสดง หรือนักกีฬาได้กระทำขึ้น

3.             เงินได้ที่นักแสดงหรือนักกีฬาได้รับจากกิจกรรมที่กระทำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐนั้น หากการมาเยือนรัฐนั้นได้รับการอุดหนุนทั้งหมดหรือเป็น ส่วนใหญ่ โดยกองทุนสาธารณะของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ส่วนราชการ หรือองค์การ บริหารส่วนท้องถิ่น


ข้อ 18
เงินบำนาญและเบี้ยรายปี

                ภายใต้ข้อบังคับแห่งบทบัญญัติในวรรค 2 ของข้อ 19 เงินบำนาญ และเงินได้อื่นที่มี ลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งสำหรับการทำงาน
ในอดีต จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น


ข้อ 19
งานรัฐบาล

1.             (ก)           เงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทนอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนอกเหนือจากเงินบำนาญ
                                ที่จ่ายโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือส่วนราชการหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของ
                                รัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นให้แก่บุคคลธรรมดาใด ๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับบริการที่ให้แก่รัฐนั้นหรือ
                                ส่วนราชการ หรือองค์การบริหารของรัฐนั้นจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น
                (ข)           อย่างไรก็ตาม เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอื่นเช่นว่านั้น จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐ
                                ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากบริการนั้นได้ให้ในรัฐนั้น และบุคคลธรรมดาผู้นั้นเป็น
                                ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นผู้ซึ่ง
                                (1)           เป็นคนชาติของรัฐนั้น หรือ
                                (2)           มิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นเพียงเพื่อมุ่งประสงค์ที่จะให้บริการนั้น

2.             (ก)           เงินบำนาญใดๆที่จ่ายโดยหรือจ่ายจากกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือ
                                ส่วนราชการหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งนั้นให้แก่บุคคล
                                ธรรมดาใดๆที่เกี่ยวกับบริการที่ให้แก่รัฐนั้น หรือส่วนราชการ หรือองค์การบริหารของ
                                รัฐนั้น จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้นเท่านั้น
                (ข)           อย่างไรก็ตาม เงินบำนาญนั้นจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้า
                                บุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่และเป็นคนชาติของรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

3.             บทบัญญัติของข้อ 15, 16, 17 และ 18 ของความตกลงนี้ จะใช้บังคับแก่เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอื่นที่คล้ายคลึงกัน และเงินบำนาญที่ได้จ่ายเกี่ยวกับการให้บริการ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจใดๆที่ดำเนินการ โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือส่วนราชการ หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของรัฐนั้น


ข้อ 20
ศาสตราจารย์ ครู และนักวิจัย

1.             บุคคลธรรมดาผู้ซึ่งโดยทันทีหรือก่อนหน้าที่จะไปเยือนรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และเป็นผู้ซึ่งได้ไปเยือนรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกตามคำเชิญของ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษาอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งได้รับการ รับรองจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรก เป็นเวลาไม่เกินสองปี เพียงเพื่อ ความมุ่งประสงค์ในการสอนหรือการวิวิจัย หรือทั้งสองประการ ณ สถาบันการศึกษา เช่นว่านั้น จะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น สำหรับค่าตอบแทนจากการสอนหรือการวิจัยดังกล่าว

2.             บทบัญญัติของวรรค 1 จะไม่ใช้บังคับกับเงินได้จากการวิจัย ถ้าการวิจัยเช่นว่านั้นได้ ดำเนินการโดยบุคคลธรรมดาเป็นส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของเอกชนโดยเฉพาะหรือ
เอกชนอื่นๆเป็นสำคัญ

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011