อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธ์รัฐสวิส
เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
รัฐบาลแห่งประเทศไทย และคณะมนตรีแห่งสหพันธ์สวิส
มีความปรารถนาที่จะจัดทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้
ได้ตกลงกันดังนี้
ขอบข่ายด้านบุคคล
อนุสัญญาจะใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือทั้งสองรัฐ
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย
1. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับกับภาษีเก็บจากเงินได้ที่บังคับจัดเก็บในนามของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหนึ่งหรือในนามของส่วนราชการหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่บังคับจัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้นหรือจากองค์ประกอบต่าง ๆ ของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนทั้งสิ้นซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้จ่ายตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุน จะถือเป็นภาษีเก็บจากเงินได้
3. ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับโดยเฉพาะ ได้แก่
(ก) ในกรณีของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ภาษีของรัฐบาลกลาง ภาษีของมณฑลและภาษีของท้องถิ่น ซึ่งเก็บจากเงินได้ (เงินได้ทั้งปวง เงินได้จากการจ้างแรงงาน เงินได้จากทุนกำไรจากอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ผลได้จากทุน และเงินได้รายการอื่น ๆ )
(ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีสวิส")
(ข) ในกรณีประเทศไทย
- ภาษีเงินได้ และ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")
4. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับกับภาษีใด ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันในประการสำคัญซึ่งบังคับจัดเก็บภายหลังจากวันที่ได้ลงนามในอนุสัญญานี้เป็นการเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะแจ้งให้กันและกันทราบถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่สำคัญ ซึ่งมีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ
บทนิยามทั่วไป
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
(ก) คำว่า "สวิสเซอร์แลนด์" หมายถึง สมาพันธรัฐสวิส
(ข) คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและรวมถึงพื้นที่ใด ๆ ซึ่งประชิดกับทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยซึ่งรวมถึงพื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้ผิวดินที่ราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิเหนือพื้นที่นั้น ๆ ตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศ
(ค) คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง ประเทศไทย หรือประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แล้วแต่บริบทจะกำหนด
(ง) คำว่า "บุคคล" รวมถึง บุคคลธรรมดา บริษัทและคณะบุคคลอื่นใด และในกรณีของประเทศไทย คำนี้จะครอบคลุมถึงองค์กรใด ๆ ซึ่งถือเป็นหน่วยที่พึงเสียภาษีด้วย
(จ) คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคลใด ๆ หรือองค์กรใด ๆ ที่ถือว่าเป็นนิติบุคคลเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี
(ฉ) คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง วิสาหกิจ ที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งตามลำดับ
(ช) คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีไทยหรือภาษีสวิส ตามที่บริบทกำหนด
(ซ) คำว่า "คนชาติ" หมายถึง
(1) บุคคลธรรมดาใด ๆ ซึ่งมีสัญชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(2) นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคม และหน่วยอื่นใดที่มีสถานภาพนั้น ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐ ผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(ฌ) คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใด ๆ ทางเรือหรือทางอากาศยาน ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นกรณีการเดินเรือหรือเดินอากาศยานระหว่างสถานที่ต่าง ๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น และ
(ญ) คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึง
(1) ในกรณีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารจัดเก็บภาษีแห่งสหพันธ์ หรือผู้แทนที่ ได้รับมอบหมาย และ
(2) ในกรณีของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
2. ในการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใด ๆ ที่มิได้นิยามไว้ในอนุสัญญานี้ให้มีความหมายซึ่งคำนั้นมีอยู่ตามกฎหมายของรัฐนั้น เกี่ยวกับภาษีซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ผู้มีถิ่นที่อยู่
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใดซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่เสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจดทะเบียน บริษัท สถานจัดการ หรือโดยเกณฑ์อื่นใดในลักษณะเดียวกัน แต่คำนี้มิให้รวมถึงบุคคลใด ๆ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในรัฐนั้นด้วยเหตุผลเฉพาะ การมีเงินได้จากแหล่งในรัฐนั้นแต่เพียงอย่างเดียว
2. โดยเหตุแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้กำหนดสภาพของบุคคลดังกล่าว ดังต่อไปนี้
(ก) ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐซึ่งตนมีที่อยู่ถาวร ถ้าบุคคลธรรมดานั้นมีที่อยู่ถาวรในทั้งสองรัฐให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)
(ข) ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐอันเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้ หรือถ้าบุคคลธรรมดานั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย
(ค) ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั่งสองรัฐหรือไม่มีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนเป็นคนชาติ
(ง) ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของทั้งสองรัฐหรือไม่เป็นคนชาติของทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาแก้ไขปัญหาโดยตกลงร่วมกัน
3. ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลนอกเหนือจากบุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
สถานประกอบการถาวร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายความว่า สถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะให้รวมถึง
(ก) สถานจัดการ
(ข) สาขา
(ค) สำนักงาน
(ง) โรงงาน
(จ) โรงช่าง
(ฉ) เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อแก๊ส เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นๆ ที่มีการขุดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
(ช) ที่ทำการเพาะปลูกหรือไร่สวน
(ซ) คลังสินค้าในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคล ซึ่งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาสำหรับบุคคลอื่น
(ฌ) ที่ตั้งอาคาร โครงการก่อสร้าง โครงการติดตั้งหรือโครงการประกอบ หรือกิจกรรมตรวจควบคุมที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการดังกล่าว เฉพาะกรณีที่ตั้งโครงการหรือกิจกรรมนั้นดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเกินกว่า 6 เดือน
(ญ) การให้บริการรวมตลอดถึงการให้บริการปรึกษาโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐ ผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งผ่านลูกจ้างหรือพนักงานอื่น เฉพาะกรณีที่กิจกรรมเช่นว่านั้นดำรงอยู่เพื่อโครงการเดียวกัน หรือโครงการต่อเนื่องกันในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งในชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือหลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน ภายใน 12 เดือนใด ๆ
3. แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อน ๆ ของข้อนี้อยู่ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง
(ก) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา หรือการจัดแสดงสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ
(ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาหรือจัดแสดง
(ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้น เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการแปรรูปโดยวิสาหกิจอื่น
(ง) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อหรือของสินค้า หรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศให้แก่วิสาหกิจนั้น
(จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการโฆษณาเพื่อจัดส่งข้อสนเทศเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน อันมีลักษณะเป็นการเตรียมงานหรือเป็นส่วนประกอบให้แก่วิสาหกิจนั้น
4. แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 ในกรณีที่บุคคลนอกเหนือจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 6 ได้กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะถือว่าวิสาหกิจนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้าบุคคลดังกล่าว
(ก) มีการใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก ซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของวิสาหกิจนั้นเว้นแต่ กิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่เฉพาะแต่เพียงเพื่อการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น
(ข) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่ได้เก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐแรกนั้นเป็นปกติวิสัย และดำเนินการสั่งซื้อหรือส่งมอบของในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ
(ค) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่จัดหาคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในรัฐแรกนั้นอยู่เป็นปกติวิสัยเพื่อวิสาหกิจนั้นเองหรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่น ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
5. แม้จะมีบทบัญญัติก่อน ๆ ของข้อนี้อยู่ วิสาหกิจประกันภัยของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ยกเว้นในกรณีของการรับประกันภัยต่อ จะถือว่า มีสถานประกอบการถาวรอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง ถ้าวิสาหกิจนั้นเรียกเก็บเบี้ยประกันในอาณาเขตของรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น หรือประกันการเสี่ยงภัยที่มีอยู่ ณ ที่นั้น โดยผ่านทางลูกจ้างหรือตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระภายใต้ความหมายของวรรค 6
6. วิสาหกิจจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐนั้นโดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไปหรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ในกรณีที่บุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม กิจกรรมี่ตัวแทนเช่นว่านั้นได้กระทำทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในนามวิสาหกิจนั้น หรือในนามของวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่น ซึ่งถูกควบคุมโดยวิสาหกิจนั้น หรือมีการควบคุม ผลประโยชน์ในวิสาหกิจนั้นจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระตามความหมายของวรรคนี้
7. ข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุมหรืออยู่ในความควบคุมของบริษัท ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งหรือซึ่งประกอบธุรกิจในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใด เป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง