ข้อ 21 กิจกรรมนอกชายฝั่ง 1. บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับโดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นใดของอนุสัญญานี้ 2. บุคคลซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และประกอบกิจกรรมนอกชายฝั่งในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและ ดินใต้ผิวดินและทรัพยากรธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น ตามวรรค 3 และ 4 ของข้อนี้ ให้ถือว่าการประกอบกิจกรรมเหล่านั้นเป็นการประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยผ่านสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น และจะเก็บภาษีได้ตามข้อ 7 หรือข้อ 14 แล้วแต่กรณี 3. บทบัญญัติของวรรค 2 และอนุวรรค (ข) ของวรรค 6 จะไม่ใช้บังคับในกรณีที่การประกอบกิจกรรมนั้นได้ดำเนินไปเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน 30 วัน ในระยะเวลาสิบสองเดือนใดๆ อย่างไรก็ดี เพื่อความ มุ่งประสงค์ของวรรคนี้ (ก) การประกอบกิจกรรมโดยวิสาหกิจหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับวิสาหกิจอื่น จะถือว่าเป็นการประกอบกิจกรรมโดยวิสาหกิจซึ่งมีความสัมพันธ์กันนั้น ถ้ากิจกรรมดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่กับกิจกรรมที่ดำเนิน การโดยวิสาหกิจที่กล่าวถึงครั้งหลัง (ข) วิสาหกิจสองแห่งจะถือว่ามีความสัมพันธ์กัน ถ้าวิสาหกิจแห่งหนึ่งถูก ควบคุมโดยตรงหรือโดยทางอ้อมโดยวิสาหกิจอื่น หรือวิสาหกิจทั้งสอง แห่งถูกควบคุมโดยตรงหรือโดยทางอ้อม โดยบุคคลที่สามเพียงบุคคล เดียวหรือหลายบุคคล 4. กำไรที่ได้รับโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจากการขนส่งสัมภาระหรือบุคลากรไปยัง สถานที่หนึ่งหรือระหว่างสถานที่ต่างๆในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งประกอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ จากการดำเนินกิจการเรือลากจูงและเรืออื่นๆซึ่งเป็นส่วนประกอบของกิจกรรมเช่นว่านั้น ภายใต้บังคับ ของข้อ 8 จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่เท่านั้น ยกเว้นในกรณีที่เรือ หรืออากาศยานเช่นว่านั้นได้ดำเนินการในการจราจรระหว่างประเทศ บทบัญญัติของวรรคนี้จะไม่นำมาใช้บังคับ ถ้าเรือหรืออากาศยานได้ดำเนินการโดยสถานประกอบการถาวรตามความหมายของข้อ 5 ในกรณีนี้จะนำบทบัญญัติของข้อ 7 มาใช้บังคับ
5. (ก) ภายใต้บังคับอนุวรรค (ข) ของวรรคนี้ เงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทนอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันที่ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินและทรัพยากรธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จนถึงขนาดที่ว่าหน้าที่นั้นได้กระทำนอกชายฝั่งของอีกรัฐหนึ่งนั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น อย่างไรก็ดี ค่าตอบแทนเช่นว่านั้นจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกเท่านั้น ถ้าการจ้างงานได้กระทำนอกชายฝั่งเพื่อนายจ้างที่มิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้นและมีเงื่อนไขว่าการจ้างงานได้กระทำสำหรับระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันไม่เกิน 30 วัน ในระยะเวลาสิบสองเดือนใดๆ (ข) เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันที่ ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐ ผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานที่กระทำในเรือหรืออากาศยานที่ใช้ในการขนส่งสัมภาระ หรือบุคลากรไปยังสถานที่หนึ่งหรือระหว่างสถานที่ต่างๆในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งประกอบกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินและทรัพยากร ธรรมชาติ หรือในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานที่กระทำในเรือลากจูงหรือเรืออื่นๆซึ่งได้ดำเนินการเป็นส่วนประกอบของกิจกรรมเช่นว่านั้น จะเก็บภาษีได้ตาม ข้อ 15 6. ผลได้ที่ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจากการจำหน่าย (ก) สิทธิในการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์ หรือ (ข) ทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และที่ใช้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับการสำรวจหรือ การแสวงประโยชน์เกี่ยวกับพื้นดิน ท้องทะเลและดินใต้ผิวดินและทรัพยากรธรรมชาติที่ตั้ง อยู่ในอีก รัฐหนึ่ง หรือ (ค) หุ้นที่มีมูลค่าหรือมีส่วนเกินของมูลค่า โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม จากสิทธิหรือ ทรัพย์สิน เช่นว่านั้น หรือจากทรัพย์สินและสิทธิเช่นว่า นั้นรวมกัน อาจเก็บภาษีได้ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง ในวรรคนี้ "สิทธิในการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์" หมายถึงสิทธิในทรัพย์สินที่จะเกิดขึ้นจากการสำรวจหรือการแสวงประโยชน์เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินและทรัพยากรธรรมชาติในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง รวมถึงสิทธิที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียหรือได้รับผลประโยชน์ในทรัพย์สินเช่นว่านั้น ข้อ 22 เงินได้อื่นๆ 1. บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับข้อบทก่อนๆของอนุสัญญานี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น 2. บทบัญญัติของวรรค 1 จะไม่นำมาใช้บังคับกับเงินได้นอกเหนือจากเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 ถ้าผู้รับเงินได้เช่นว่านั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งโดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นหรือประกอบการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระในอีกรัฐหนึ่งนั้นจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ใน รัฐนั้น และสิทธิหรือทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่จ่ายไปนั้นเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ในกรณีเช่นว่านั้นจะใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี 3. แม้ว่าจะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับข้อบทก่อนๆของอนุสัญญานี้ และเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น หมวด 4 วิธีการขจัดการเก็บภาษีซ้อน ข้อ 23 การขจัดการเก็บภาษีซ้อน 1. ในกรณีที่เงินได้หรือกำไรต้องเสียภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ได้รับการบรรเทาภาระจาก การเก็บภาษีซ้อนตามวรรคต่อๆไปของข้อนี้ 2. ในประเทศไทย ภาษีที่พึงชำระในประเทศนอร์เวย์ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้หรือกำไรที่ได้รับในประเทศนอร์เวย์ จะยอมให้ถือเป็นเครดิตหักออกจากภาษีใดๆที่พึงชำระในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้หรือกำไรนั้น อย่างไรก็ตาม เครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีที่พึงชำระในประเทศไทยตามที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะมีการให้เครดิต ตามจำนวนที่เหมาะสมกับรายการเงินได้หรือกำไรเช่นว่านั้น 3. ในประเทศนอร์เวย์ การเก็บภาษีซ้อนจะได้รับการขจัดโดย (ก) ตามบทบัญญัติของกฎหมายของประเทศนอร์เวย์ที่เกี่ยวกับการยอม ให้นำภาษีที่พึงชำระในดินแดนภายนอกประเทศนอร์เวย์มาถือเป็นเครดิต หักออกจากภาษีนอร์วีเจียน (ซึ่งจะไม่กระทบต่อหลักการโดยทั่วไปของเรื่องนี้) ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศนอร์เวย์ได้รับเงินได้ซึ่งตามบทบัญญัติของ อนุสัญญานี้ อาจเก็บภาษีได้ในประเทศไทย ประเทศนอร์เวย์จะยอมให้หัก ออกจากภาษีที่เก็บจากเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่นั้น เป็นจำนวนเท่ากับ ภาษีเงินได้ที่ได้ชำระไว้ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การหักเช่นว่านั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีเงินได้ที่สอดคล้อง กับจำนวนเงินได้ที่อาจเก็บภาษีได้จากประเทศไทยตามที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่ จะมีการหักนั้น (ข) ในกรณีที่ตามบทบัญญัติใดๆของอนุสัญญา เงินได้ที่ได้รับโดยผู้มีถิ่น ที่อยู่ในประเทศนอร์เวย์ ได้รับยกเว้นภาษีในประเทศนอร์เวย์ อย่างไร ก็ตามประเทศนอร์เวย์อาจรวมเงินได้เช่นว่านั้นในฐานภาษี แต่จะยอม ให้นำภาษีเงินได้ของจำนวนเงินได้ที่ได้รับจากประเทศไทยมาหักออก จากภาษีนอร์วีเจียนที่เก็บจากเงินได้ (ค) ในกรณีที่มีคำร้องจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยไปยัง เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศนอร์เวย์ ระบุการลงทุนเฉพาะอย่าง ในประเทศไทยว่าเป็นโครงการเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่ได้ รับอนุมัติ ภาษีไทยที่ได้กล่าวไว้ในอนุวรรค 3(ก) ของข้อนี้ โดยความ เห็นชอบของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจนอร์วีเจียน ให้ถือว่ารวมถึงจำนวน ภาษีซึ่งภายใต้กฎหมายของประเทศไทยและตามอนุสัญญานี้ พึง ได้ชำระเป็นภาษีเงินได้ แต่ได้รับการยกเว้นเพื่อเป็นสิ่งจูงใจทางภาษี ภายใต้กฎหมายของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (ง) อนุวรรค 3 (ค) จะใช้บังคับเฉพาะกับเงินได้ที่ได้รับในเวลาใดๆใน 10 ปี เงินได้แรกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินได้ซึ่งอนุสัญญานี้มีผลบังคับตาม อนุวรรค (ข) ของข้อ 28 และในปีเงินได้ใดๆหลังจากนั้นซึ่งอาจตกลงกัน โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือเพื่อความมุ่งประสงค์นี้ โดยเจ้าหน้าที่ผู้มี อำนาจของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (จ) ในกรณีที่เงินได้ที่ได้รับการบรรเทาจากภาระภาษีนอร์วีเจียนภายใต้ บทบัญญัติใดๆของอนุสัญญานี้ บุคคลธรรมดาผู้ต้องเสียภาษีในส่วน ที่เกี่ยวกับเงินได้ดังกล่าวภายใต้กฎหมายที่ใช้บังคับในประเทศไทย โดยการระบุจำนวนเงินได้ซึ่งถูกส่งไปหรือได้รับในประเทศไทย และไม่มี การระบุถึงจำนวนเต็มของเงินได้นั้น การบรรเทาภาระที่จะยอมให้ภาย ใต้อนุสัญญานี้ในประเทศนอร์เวย์ จะใช้กับเงินได้เฉพาะ ที่ได้เสียภาษี ไว้ในประเทศไทยเท่านั้น หมวด 5 บทบัญญัติพิเศษ ข้อ 24 การไม่เลือกประติบัติ 1. คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆหรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับผู้มีถิ่นที่อยู่ ถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงบทบัญญัติของข้อ 1 บทบัญญัตินี้จะใช้บังคับแก่บุคคลซึ่งมิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐด้วย 2. ภาษีอากรที่เก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐ ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่ถูกเรียกเก็บในอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งนั้นที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน บทบัญญัตินี้จะไม่แปลความเป็นการผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งต้องยอมให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคล การบรรเทาภาระและการหักลดใดๆเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษีอากรอันเนื่องมาจากความเป็นพลเมืองหรือความรับผิดชอบทางครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน 3. เว้นแต่ในกรณีบทบัญญัติของข้อ 9 วรรค 7 ของข้อ 11 หรือวรรค 6 ของข้อ 12 ใช้บังคับ ดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และการชำระอื่นๆที่จ่ายโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ใน รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการกำหนดกำไรที่พึงเสียภาษีของวิสาหกิจเช่นว่านั้น จะยอมให้หักได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันเสมือนว่าจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก 4. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสํญญารัฐหนึ่งซึ่งมีผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียวหรือหลายคนเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะไม่ถูกบังคับในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดกฏเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฏเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม
5. บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะกับภาษีซึ่งอยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้ ข้อ 25 วิธีการดำเนินการเพื่อความตกลงร่วมกัน 1. ในกรณีที่บุคคลพิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ มีผลหรือจะมีผลให้ตนเองต้องเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ บุคคลผู้นั้นอาจ ยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการแก้ไขที่บัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของรัฐแต่ละรัฐนั้น หรือถ้ากรณีของบุคคลผู้นั้นอยู่ภายใต้วรรค 1 ของข้อ 24 ก็ให้ยื่นต่อรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนเป็นคนชาติ คำร้องดังกล่าวต้องยื่นภายในเวลา 3 ปี นับจากที่ได้รับแจ้งครั้งแรกถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติทางภาษีอันไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้ 2. ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควร และถ้าตนไม่สามารถที่จะ หาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจพยายามแก้ไขกรณีนั้นโดยความตกลงร่วมกันกับ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ 3. เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ จะต้องพยายามแก้ไขความยุ่งยาก หรือข้อสงสัยใดๆอันเกิดขึ้นเนื่องจากการตีความหรือการใช้บังคับอนุสัญญานี้ โดยความตกลงร่วมกัน เจ้าหน้าที่ ดังกล่าวอาจปรึกษาหารือกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อนในกรณีใดๆที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ด้วย 4. เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ อาจติดต่อซึ่งกันและกันโดยตรง เพื่อความมุ่งประสงค์ให้บรรลุความตกลงกันตามความหมายแห่งวรรคก่อนๆนั้น |