เมนูปิด

ข้อ 11

ดอกเบี้ย

 

1.             ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม

 

               (ก)          ในกรณีของประเทศอินโดนีเซีย

               ดอกเบี้ยดังกล่าวที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซียอาจเก็บภาษีได้ในประเทศ อินโดนีเซียตามกฎหมายของประเทศอินโดนีเซีย แต่ถ้าผู้รับเป็นเจ้าของผลประโยชน์ของดอกเบี้ย ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น

 

               (ข)          ในกรณีของประเทศไทย

               ดอกเบี้ยดังกล่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอาจเก็บภาษีได้ในประเทศไทยตามกฎหมายของประเทศไทย แต่ถ้าผู้รับเป็นเจ้าของผลประโยชน์ของดอกเบี้ย ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกิน

 

                             (1)          ร้อยละ 10 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น ถ้าดอกเบี้ยนั้นได้รับโดยสถาบัน

                                            การเงินใด ๆ (รวมทั้งบริษัทประกันภัย)

 

                             (2)          ในกรณีอื่น ๆ ร้อยละ 25 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติแห่งวรรค 2 ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่าย

ให้แก่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะได้รับการยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกที่กล่าวถึง

 

4.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งวรรค 3 ของข้อนี้ คำว่า "รัฐบาล"

 

               (ก)          ในกรณีของประเทศอินโดนีเซีย

 

                หมายถึง รัฐบาลแห่งประเทศอินโดนีเซีย และจะรวมถึง

 

                             (1)          ธนาคารแห่งประเทศอินโดนีเซีย

 

                             (2)          องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และ

 

                             (3)          สถาบันต่าง ๆ ซึ่งทุนของสถาบันนั้นเป็นของรัฐบาลแห่งประเทศ

                                            อินโดนีเซีย หรือขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งหมดตามที่อาจตกลง

                                            กันเป็นคราว ๆ ไป ระหว่างรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ

 

              (ข)          ในกรณีของประเทศไทย

 

                หมายถึง รัฐบาลแห่งประเทศไทย และจะรวมถึง

 

                             (1)          ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

                             (2)          องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และ

 

                             (3)          สถาบันต่าง ๆ ซึ่งทุนของสถาบันนั้นเป็นของรัฐบาลแห่ง

                                            ประเทศไทย หรือขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งหมดตามที่อาจตกลง

                                            กันเป็นคราว ๆ ไป ระหว่างรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ

 

5.             คำว่า " ดอกเบี้ย" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง เงินได้จากสิทธิเรียกร้องหนี้ทุกชนิดไม่ว่า

จะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรของลูกหนี้หรือไม่ และโดยเฉพาะเงินได้จากหลักทรัพย์รัฐบาล และเงินได้จากพันธบัตรหรือหุ้นกู้รวมทั้งพรีเมี่ยม และรางวัล อันผูกพันกับหลักทรัพย์พันธบัตรหรือหุ้นกู้เช่นว่านั้น รวมทั้งเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับ เงินได้จากการให้กู้ยืมเงินตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งเงินได้นั้นเกิดขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ย จากการขายที่ชำระล่าช้า

 

6.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าเจ้าของผลประโยชน์จากดอกเบี้ย เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้น โดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น หรือกระทำการในอีกรัฐหนึ่งโดยให้บริการส่วนบุคคล

ที่เป็นอิสระจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น และสิทธิเรียกร้องหนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย ที่จ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับ ก) สถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำหรือ

กับ ข) กิจกรรมธุรกิจที่อ้างถึงภายใต้ (ค) ของวรรค 1 ของข้อ 7 ในกรณีเช่นนี้ จะใช้บทบัญญัติของ

ข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี

 

7.             ดอกเบี้ยจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง องค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีบุคคลที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่น ที่อยู่ ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำ ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง อันก่อให้เกิดหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยนั้น และดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่ สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำ ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐซึ่ง สถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่

 

8.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่าย และเจ้าของผลประโยชน์ หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่จ่ายให้กันนั้น เมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้องหนี้ อันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้วมีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่าง ผู้จ่ายกับเจ้าของผลประโยชน์ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับ เฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมาย ของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่น ๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย

 

 

ข้อ 12

ค่าสิทธิ

 

1.             ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญา

อีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             อย่างไรก็ตาม ค่าสิทธิเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้น

และตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าผู้รับเป็นเจ้าของผลประโยชน์จากค่าสิทธิ ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจะต้อง ไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะวางแนวปฏิบัติ

เกี่ยวกับข้อจำกัดโดยความตกลงร่วมกัน

 

3.             คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง การจ่ายไม่ว่าชนิดใดๆที่ได้รับเป็นค่าตอบแทน

เพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ศิลปะ หรืองานวิทยาศาสตร์ รวมทั้งฟิล์ม

ภาพยนตร์ หรือฟิล์มหรือเทปที่ใช้สำหรับการกระจายเสียงทางวิทยุหรือโทรทัศน์ สิทธิบัตร เครื่องหมาย

การค้า แบบ หรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตรลับหรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อการใช้ หรือสิทธิในการ ใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อข้อสนเทศเกี่ยวกับ ประสบการณ์ ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือทางวิทยาศาสตร์ หรือสิทธิการรับชำระเป็น ค่าตอบแทนเพื่อหรือที่เกี่ยวเนื่องกับการแสวงประโยชน์หรือสิทธิสำรวจเพื่อหรือแสวงประโยชน์จาก แหล่งแร่ธาตุ น้ำมัน หรือก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่ขุดค้นหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อื่น ๆ หรือการให้ความช่วยเหลือเพื่อเป็นส่วนประกอบและสนับสนุน หรือมีส่วนร่วมในทรัพย์สิน หรือสิทธิใด ๆตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้น หรือการจัดหาทั้งหมดหรือบางส่วนในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับ การใช้หรือจัดหาทรัพย์สิน หรือสิทธิใด ๆ ที่กล่าวถึงในวรรคนี้

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 2 จะใช้บังคับเช่นกันกับผลได้จากการจำหน่ายสิทธิ หรือ ทรัพย์สิน ใด ๆ ที่ก่อให้เกิดค่าสิทธิเช่นว่านั้น ถ้าสิทธิหรือทรัพย์สินเช่นว่านั้น จำหน่ายโดยผู้มี ถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเพื่อการใช้โดยเฉพาะ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และการจ่าย เพื่อสิทธิหรือ ทรัพย์สินเช่นว่านั้นตกเป็นภาระของวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งหรือสถานประกอบการ ถาวรหรือฐานประกอบการ ประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

5.             บทบัญญัติของวรรค 1 และวรรค 2 จะไม่ใช้บังคับถ้าเจ้าของผลประโยชน์จาก ค่าสิทธิเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้น โดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น หรือประกอบการในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น และสิทธิหรือ ทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับค่าสิทธิที่จ่ายนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับ (ก) สถานประกอบ การถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น หรือ กับ (ข) กิจกรรมธุรกิจที่อ้างถึงภายใต้ (ค) ของวรรค 1 ของข้อ 7 ในกรณีเช่นนี้จะใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี

 

6.             ค่าสิทธิให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เมื่อผู้จ่ายคือรัฐผู้ทำสัญญานั้นเอง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลผู้จ่ายค่าสิทธิ นั้นไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตามมีสถานประกอบการถาวร หรือฐาน ประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันเกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดพันธกรณีที่จะต้องจ่าย ค่าสิทธิขึ้น และค่าสิทธินั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ค่าสิทธิเช่นว่านั้นให้ถือว่า เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการ ถาวรหรือฐานประกอบ การประจำนั้นตั้งอยู่

 

7.             ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและเจ้าของผลประโยชน์

หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น จำนวนค่าสิทธิที่จ่ายให้กันนั้น เมื่อคำนึงถึงการใช้ สิทธิ หรือ

ข้อสนเทศอันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่าง

ผู้จ่ายและเจ้าของผลประโยชน์ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับ เฉพาะกับเงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมาย ของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย

 

 

ข้อ 13

ผลได้จากทุน

 

1.             ผลได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ตามที่ระบุไว้ในข้อ 6 และตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญา อีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             ผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินธุรกิจของสถาน ประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือ สังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับฐานประกอบการประจำซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐ ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ รวมทั้งผลได้ จากการจำหน่ายสถานประกอบการเช่นว่านั้น (โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด) หรือฐาน ประกอบการประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

3.             ผลได้ที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายเรือหรืออากาศยาน ที่ใช้ในการจราจรระหว่างประเทศ หรือสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเดินเรือหรือ อากาศยานเช่นว่านั้น จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น

 

4.             ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ใด ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ใน วรรค 1, 2 และ 3 ของข้อนี้ และในวรรค 4 ของข้อ 12 จะเก็บภาษีได้เฉพาะแต่ในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งผู้จำหน่ายเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ ไม่มีข้อความใดในวรรคนี้ที่จะขัดขวางรัฐผู้ทำสัญญา รัฐหนึ่งรัฐใด ในการเก็บภาษีจากผลได้หรือเงินได้จากการจำหน่ายหรือการโอนหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่น ๆ

 

 

ข้อ 14

บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ

 

1.             เงินได้ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นอิสระ จะเก็บภาษีได้ในรัฐนั้นเท่านั้น เว้นแต่ว่ากิจกรรมดังกล่าว ได้กระทำขึ้น ในรัฐผู้ทำ สัญญาอีกรัฐหนึ่ง เงินได้ในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือกิจกรรม ที่เป็นอิสระอื่น ๆ ซึ่งได้ประกอบการภายในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐนั้น

 

2.             แม้จะมีบทบัญญัติในวรรค 1 อยู่ เงินได้ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญา รัฐหนึ่ง ได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นอิสระที่ ประกอบการ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกที่กล่าวถึง ถ้า

 

               (ก)          ผู้นั้นอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งมีระยะเวลารวมกันแล้วไม่เกิน 183 วัน

                               ในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง และ

 

               (ข)          ผู้นั้นไม่ได้มีฐานประกอบการประจำในรัฐอีกรัฐหนึ่งเป็นระยะเวลาหนึ่งหรือ

                               หลายระยะรวมกันแล้วเกิน 183 วัน ในปีรัษฎากรดังกล่าว และ

 

               (ค)          เงินได้นั้นมิได้ตกเป็นภาระแก่วิสาหกิจ หรือแก่สถานประกอบการถาวร หรือฐาน

                               ประกอบการประจำซึ่งตั้งอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

3.             คำว่า "บริการวิชาชีพ" รวมถึงโดยเฉพาะ กิจกรรมอิสระ ด้านวิทยาศาสตร์

วรรณกรรม ศิลปะ การศึกษา หรือการสอน และกิจกรรมอิสระของแพทย์ ทนายความ วิศวกร สถาปนิก ทันตแพทย์ และนักบัญชี

 

 

ข้อ 15

บริการส่วนบุคคลที่ไม่เป็นอิสระ

 

1.             ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ 16, 17, 18 ,19, 20 และ 21 เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกัน ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญา รัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่ เกี่ยวกับการจ้างงาน ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น เว้นแต่การจ้างงานนั้นได้กระทำในรัฐ ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้ามีการจ้างงานเช่นว่านั้น ค่าตอบแทนที่ได้รับจากการนั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐ ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 ค่าตอบแทนที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานที่กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำ สัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้า

 

               (ก)          ผู้รับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งในชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลา

                               รวมกันไม่เกิน 183 วัน ในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้องและ

 

               (ข)          ค่าตอบแทนนั้นจ่ายโดย หรือในนามของนายจ้างผู้ซึ่งมิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐ

                              อีกรัฐหนึ่ง และ

 

               (ค)          ค่าตอบแทนนั้นมิได้ตกเป็นภาระแก่หรือจ่ายในนามสถานประกอบการถาวรหรือ

                              ฐานประกอบการประจำซึ่งนายจ้างมีอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่ง

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติวรรคก่อนๆ ของข้อนี้ ค่าตอบแทนที่ได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการ ทำงาน ในเรือหรืออากาศยานที่ดำเนินการในการจราจรระหว่างประเทศ โดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำ สัญญารัฐหนึ่งจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011