ข้อ 26 เจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุล ไม่มีข้อความใดๆในอนุสัญญานี้กระทบต่อเอกสิทธิ์ทางการรัษฎากรของเจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุลตามหลักทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามบทบัญญัติแห่งความตกลงพิเศษทั้งหลาย ข้อ 27 การเริ่มใช้บังคับ 1. รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะแจ้งให้แต่ละฝ่ายทราบซึ่งกันและกันว่าขั้นตอนต่างๆ ตามที่กำหนดไว้เพื่อที่จะทำให้อนุสัญญานี้มีผลเริ่มใช้บังคับได้ดำเนินการเรียบร้อย 2. อนุสัญญานี้จะเริ่มใช้บังคับสามสิบวันหลังจากวันที่ได้มีการบอกกล่าวถึงในวรรค 1 และจะมีผลบังคับ (ก) ในฟินแลนด์ (1) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่ได้มีการหัก ณ ที่จ่าย เงินได้ที่ได้รับในหรือหลังจากวันแรกของ เดือนมกราคมของปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งอนุสัญญามีผลใช้บังคับ; (2) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ จะเก็บภาษีได้สำหรับปีภาษีใดๆ ที่เริ่มในหรือหลัง จากวันแรกของเดือนมกราคมในปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งอนุสัญญามีผลใช้บังคับ; (ข) ในประเทศไทย (1) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งได้จ่ายในหรือหลังจากวันแรกของเดือนมกราคม ในปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งอนุสัญญามีผลใช้บังคับ (2) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีอื่นๆ สำหรับปีรัษฎากรหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นในหรือ หลังจากวันแรกของเดือนมกราคมของปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งอนุสัญญามีผลใช้บังคับ ข้อ 28 การเลิกใช้ อนุสัญญานี้จะคงใช้บังคับตลอดไปจนกระทั่งได้มีการบอกเลิกโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่ง รัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งอาจบอกเลิกอนุสัญญาฉบับนี้โดยทางการทูตด้วยแจ้งการเลิกอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนสิ้นสุดปีปฏิทินใดๆ ภายหลังจากระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่อนุสัญญามีผลใช้บังคับในกรณีเช่นนั้นอนุสัญญานี้จะสิ้นสุดผลบังคับ (ก) ในฟินแลนด์ (1) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่ได้มีการหัก ณ ที่จ่าย เงินได้ที่ได้รับในหรือหลังจากวันวันแรก ของเดือนมกราคมของปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งได้มีการบอกเลิก (2) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้อื่นๆ ภาษีที่เก็บสำหรับปีภาษีใดๆ เริ่มในหรือหลังจากวัน แรกของเดือนมกราคมในปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งได้มีการบอกเลิก (ข) ในประเทศไทย (1) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งได้จ่ายในหรือหลังจากวันแรกของเดือนมกราคม ในปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งได้มีการบอกเลิก และ (2) ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีอื่นๆ สำหรับปีรัษฎากรหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นในหรือ หลังจากวันแรกของเดือนมกราคมในปีปฏิทินถัดจากปีซึ่งได้มีการบอกเลิก เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องเพื่อการนี้ ได้ลงนามอนุสัญญานี้ ทำขึ้นคู่กันเป็นสองฉบับที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ยี่สิบห้า เดือนเมษายน ปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยยี่สิบแปด เป็นภาษาอังกฤษ สำหรับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ร้อยตรีประพาส ลิมปะพันธ์ (ประพาส ลิมปะพันธ์) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
| สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา Jermu Laine (Jermu Laine) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศ
|
พิธีสาร ในขณะที่ลงนามในอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ วันที่ได้มีการตกลงระหว่างรัฐบาลของสาธารณรัฐฟินแลนด์กับรัฐบาลของราชอาณาจักรไทย ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ ได้ยินยอมตกลงกันว่าบทบัญญัติต่อไปนี้จะประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญา ส่วนขยายของข้อ 5 ได้มีการตกลงกันเพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรค 6 ข้อ 5 "ส่วนใหญ่" ให้เป็นที่เข้าใจว่าหมายความว่ากิจกรรมที่บุคคลนั้นประกอบเพื่อวิสาหกิจที่นอกเหนือไปจากวิสาหกิจที่อ้างถึงในวรรคนั้นมีความสำคัญน้อย เมื่อเทียบกับกิจกรรมที่ผู้นั้นประกอบเพื่อวิสาหกิจที่ระบุไว้ในวรรคนั้น จนอาจถือได้ว่าเพื่อความมุ่งประสงค์ในภาคปฏิบัติทั้งปวง บุคคลผู้นั้นทำงานเพียงเพื่อวิสาหกิจฝ่ายหลังเท่านั้น ส่วนขยายของข้อ 5 และ ข้อ 6 ให้เป็นที่เข้าใจว่า ที่ทำการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์หรือไร่สวน ในกรณีของประเทศไทยเพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อ 7 ของอนุสัญญาจะถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรตามที่กล่าวถึงในข้อ 5 ของอนุสัญญา ภายใต้กฎหมายภาษีของประเทศฟินแลนด์ เงินได้จากการเกษตรหรือป่าไม้ให้ถือว่าเป็นเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ ในทำนองเดียวกันเพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญา เงินได้จากการเกษตรหรือป่าไม้ที่ประกอบกิจการในประเทศฟินแลนด์จะถือว่าเป็นเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ ส่วนขยายของข้อ 17 เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ตามที่อ้างถึงในวรรค 4 ของข้อ 17 หลักฐานของการให้การอุดหนุนในกรณีที่มีข้อสงสัยจะต้องยื่นต่อรัฐซึ่งกิจกรรมได้มีการกระทำนั้น ตามที่ได้มีการตกลงกันโดยวิธีการเพื่อความตกลงร่วมกันของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง ในกรณีของประเทศไทย คำว่ากองทุนสาธารณะ ให้รวมถึงเงินจากองค์การหรือสถาบันการกุศล สำหรับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ร้อยตรีประพาส ลิมปะพันธ์ (ประพาส ลิมปะพันธ์) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
| สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา Jermu Laine (Jermu Laine) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศ
|
|