เมนูปิด

ข้อ 21

เงินได้ซึ่งมิได้ระบุไว้ชัดแจ้ง

 

                บรรดารายการเงินได้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อก่อนหน้านี้อาจเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของแต่ละรัฐผู้ทำสัญญา

 

 

ข้อ 22

การขจัดการเก็บภาษีซ้อน

 

1.             กฎหมายที่ใช้บังคับในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใด จะยังคงใช้บังคับต่อไป ในการเก็บภาษีจากเงินได้ในรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ เว้นแต่ในกรณีที่บทของอนุสัญญานี้ได้บัญญัติแตกต่างไปจากนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ก็ให้ได้รับการผ่อนผันจากการเก็บภาษีซ้อนตามวรรคต่างๆ ของข้อต่อไปนี้

 

2.             ในประเทศฟินแลนด์ภาษีซ้อนจะได้รับการขจัดดังนี้

 

                ก)            กรณีผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศฟินแลนด์ ได้รับเงินได้ซึ่งกล่าวถึงในบทบัญญัติของอนุสัญญานี้อาจเก็บภาษีได้ในประเทศไทย ประเทศฟินแลนด์ ตามบทบัญญัติของอนุวรรค ข) จะยอมให้หักออกจากภาษีเงินได้ของบุคคลนั้นจำนวนเท่ากับภาษีเงินได้ที่เสียในประเทศไทย อย่างไรก็ตามการหักลดหย่อนเช่นว่านั้นจะไม่เกินกว่าจำนวนภาษีเงินได้ที่คำนวณได้ก่อนยอมให้มีการหักดังกล่าว ซึ่งสืบเนื่องจากเงินได้ที่อาจเสียภาษีในประเทศไทย

 

                ข)            เงินปันผลที่จ่ายโดยบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ให้แก่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศฟินแลนด์ จะได้รับยกเว้นภาษีฟินแลนด์ในจำนวนซึ่งเงินปันผลนั้นควรจะได้รับยกเว้นภาษีภายใต้กฎหมายภาษีของประเทศฟินแลนด์ หากบริษัททั้งสองเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศฟินแลนด์

 

                ค)            โดยไม่คำนึงถึงบทบัญญัติอื่นใดในอนุสัญญานี้ บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยและตามกฎหมายภาษีของฟินแลนด์ ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่กล่าวไว้ในข้อ 2 เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในฟินแลนด์ อาจเก็บภาษีได้ในฟินแลนด์ อย่างไรก็ตาม ประเทศฟินแลนด์จะยอมให้ภาษีไทยที่เสียจากเงินได้นั้นหักออกจากภาษีฟินแลนด์ตามบทบัญญัติของวรรค ก) บทบัญญัติของอนุวรรคนี้จะใช้บังคับเฉพาะกับคนชาติของประเทศฟินแลนด์เท่านั้น

 

                ง)            กรณีเงินได้ที่กล่าวถึงในบทบัญญัติใดๆ ของอนุสัญญาที่ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศฟินแลนด์ จะได้รับยกเว้นภาษีในประเทศฟินแลนด์ แม้กระนั้นก็ตามการคำนวณจำนวนภาษีจากเงินได้ส่วนที่เหลืออยู่ของผู้มีถิ่นที่อยู่เช่นว่านั้นจะต้องคำนึงถึงเงินได้ที่รับยกเว้นภาษีไว้แล้วด้วย

 

                จ)            เพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุวรรค ก) คำว่า "ภาษีเงินได้ที่เสียในประเทศไทย" จะถือว่ารวมถึงภาษีไทยซึ่งภายใต้กฎหมายของประเทศไทย และตามอนุสัญญาฉบับนี้ควรจะได้ชำระเป็นภาษีไทยแล้ว แต่ด้วยเหตุของการยกเว้นหรือลดหย่อนใดๆ ของภาษีไทยที่เก็บจากเงินได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ยอมให้ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พุทธศักราช 2520 (1977) ของประเทศไทยเท่าที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับอยู่ และมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขตั้งแต่วันลงนามในอนุสัญญา หรือได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเฉพาะส่วนน้อยโดยมิได้มีผลกระทบต่อลักษณะทั่วไปหรือบทบัญญัติอื่นใด ซึ่งประกาศใช้และได้ตกลงกันโดยการแลกเปลี่ยนเอกสารระหว่างรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

                ฉ)            บทบัญญัติของอนุวรรค จ) จะใช้บังคับสำหรับ 10 ปีแรกที่อนุสัญญามีผลบังคับ แต่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอาจปรึกษาซึ่งกันและกันถึงความเหมาะสมของการขยายกำหนดระยะเวลา

 

3.             ในกรณีของประเทศไทย ภาษีฟินแลนด์ที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งในประเทศฟินแลนด์จะยอมให้เป็นเครดิตต่อภาษีไทยที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น อย่างไรก็ตาม เครดิตจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยซึ่งได้คำนวณไว้ก่อนที่จะได้รับเครดิต ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้นั้น อย่างไรก็ตาม กรณีเงินได้เช่นว่านั้นเป็นเงินปันผลซึ่งจ่ายโดยบริษัทที่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศฟินแลนด์ให้แก่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และ เป็นเจ้าของหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนของบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลนั้น ประเทศไทยจะยกเว้นภาษีเงินได้เช่นว่านั้นให้ แต่ในการคำนวณภาษีจากเงินได้ส่วนที่เหลือของบุคคลนั้นอาจใช้อัตราภาษีซึ่งควรจะใช้ได้ ถ้าเงินได้ที่ได้รับยกเว้นนั้นไม่เคยได้รับการยกเว้นมาก่อน

 

4.             ในกรณีผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับเงินได้ใดๆ ที่กล่าวถึงในวรรค 3 ของข้อ 18 ซึ่งได้เสียภาษีในรัฐนั้นแล้ว และอาจถูกเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง รัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นจะยอมให้หักออกจากภาษีเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่นั้นเป็นจำนวนเท่ากับภาษีได้ชำระในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก อย่างไรก็ตาม จำนวนที่ให้หักออกนั้นจะต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีเงินได้ที่คำนวณได้ก่อนยอมให้มีการหักเช่นว่านั้นซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

 

ข้อ 23

การไม่เลือกประติบัติ

 

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดหรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใดเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือจากหรือเป็นภาระหนักว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับคนชาติของรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือปฏิบัติตามในสภาพการณ์เดียวกัน แม้จะมีบทบัญญัติของข้อ 1 บทบัญญัตินี้จะใช้บังคับกับบุคคลผู้ซึ่งไม่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐด้วย

 

2.             ภาษีอากรที่เก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในอีกรัฐหนึ่ง จะไม่ถูกเรียกเก็บในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นเกินกว่าภาษีอากรซึ่งเรียกเก็บจากวิสาหกิจของรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน บทบัญญัตินี้จะไม่เป็นการผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่จะให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคล การผ่อนผัน และการหักลดเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี โดยเหตุทางแพ่ง หรือทางครอบครัว ซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

3.             เว้นแต่ในกรณีของบทบัญญัติของวรรค 1 ข้อ 9, วรรค 8 ข้อ 11หรือวรรค 6 ข้อ 12 ใช้บังคับดอกเบี้ยค่าสิทธิและอื่นๆ ที่จ่ายโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ของการคำนวณภาษีกำไรของวิสาหกิจนั้นจะได้รับการหักลดภายใต้เงื่อนไขเดียวกันเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก

 

4.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียว หรือหลายคนเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใด หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดใดเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องซึ่งวิสาหกิจต่างๆอันอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกที่กล่าวถึงนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม

 

5.             ในข้อนี้ คำว่า "การเก็บภาษีอากร" หมายถึง ภาษีอากรภายใต้บทบัญญัติของอนุสัญญานี้

 

 

ข้อ 24

วิธีดำเนินการเพื่อความตกลงร่วมกัน

 

1.             ในกรณีที่บุคคลพิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐเดียว หรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นได้ หรือถ้ากรณีของบุคคลนั้นอยู่ภายใต้วรรค 1 ของข้อ 23 ต่อรัฐผู้ทำสัญญาที่ผู้นั้นเป็นคนชาติ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการแก้ไขที่ได้ร่างไว้โดยกฎหมายภายในของรัฐแต่ละรัฐ คำร้องดังกล่าวจะต้องยื่นภายในเวลา 3 ปี นับจากที่ได้รับแจ้งครั้งแรกที่ก่อให้เกิดการปฏิบัติทางภาษีอันไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควร และถ้าตนไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขที่น่าพอใจได้เอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจพยายามแก้ไขกรณีนั้นโดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญาฉบับนี้

 

3.             ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองพยายามแก้ไขข้อยุ่งยากหรือข้อสงสัยใดๆ อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้อนุสัญญานี้โดยความตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจหารือกันเพื่อความมุ่งประสงค์ให้มีการตกลงกันเพื่อจัดสรรเงินได้ในกรณีที่อ้างถึงในข้อ 9 เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยังอาจหารือกันเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้อนในกรณีใดๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ได้ด้วย

 

4.             ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจได้มีการตกลงกันตามที่อ้างถึงในวรรค 2 และ 3 รัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองจะได้ยินยอมให้มีการจัดเก็บภาษีจากเงินได้และการคืนหรือการเครดิตภาษีเป็นไปโดยสอดคล้องกับการตกลงนั้น

 

5.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองอาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้มีการตกลงกันตามความหมายแห่งวรรคก่อนๆ นั้น เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าการทำการตกลงสมควรจะกระทำโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยวาจา การแลกเปลี่ยนเช่นนั้นอาจกระทำได้โดยผ่านคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้แทนที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง

 

 

ข้อ 25

การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ

 

1.             ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแลกเปลี่ยนข้อสนเทศอันจำเป็นแก่การปฏิบัติการตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ หรือตามกฎหมายภายในของรัฐผู้ทำสัญญาเกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้เท่าที่ภาษีอากรตามกฎหมายนั้นไม่ขัดแย้งกับอนุสัญญานี้ การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศจะไม่ถูกจำกัด โดยข้อ 1 ข้อสนเทศใดๆ ที่แลกเปลี่ยนกันนั้น ให้ถือว่าเป็นความลับเช่นเดียวกับข้อสนเทศที่ได้รับภายใต้กฎหมายของรัฐนั้น และจะเปิดเผยเฉพาะต่อบุคคล หรือเจ้าหน้าที่ (รวมทั้งศาลและองค์การบริหาร) ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินหรือการจัดเก็บ การบังคับจัดเก็บหรือ การดำเนินคดีเกี่ยวกับหรือการพิจารณาอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้ บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้อสนเทศเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นเท่านั้น บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจเปิดเผยข้อสนเทศในการพิจารณาของศาลหรือในการตัดสินของศาลได้

 

2.             ไม่ว่ากรณีใดก็ตามมิให้แปลความบทของวรรค 1 เป็นการตั้งข้อผูกพันบังคับรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดให้

 

                (ก)          ดำเนินมาตรการด้านบริหารโดยขัดกับกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติด้านบริหารของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นหรือของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                (ข)          ให้ข้อสนเทศอันมิอาจจัดหาได้ตามกฎหมายหรือตามทางการบริหารโดยปกติของรัฐผู้ทำสัญญานั้นหรือของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                (ค)          ให้ข้อสนเทศซึ่งจะเปิดเผยความลับทางการค้าธุรกิจ อุตสาหกรรม การพาณิชย์ หรือวิชาชีพ หรือกรรมวิธีการค้า หรือข้อสนเทศซึ่งหากเปิดเผยจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011