เมนูปิด

ข้อ 26
การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ

 

1.             ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแลกเปลี่ยนข้อสนเทศอันจำเป็นแก่การปฏิบัติการตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ หรือตามกฎหมายภายในของรัฐผู้ทำสัญญาเกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้เท่าที่ภาษีอากรตามกฎหมายนั้นไม่ขัดแย้งกับอนุสัญญานี้ ข้อสนเทศใดๆ ที่แลกเปลี่ยนกันนั้นให้ถือว่าเป็นความลับเช่นเดียวกับข้อสนเทศที่ได้รับภายใต้กฎหมายของรัฐนั้นและจะเปิดเผยเฉพาะต่อบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ (รวมทั้งศาลและองค์การบริหาร) ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินหรือการจัดเก็บการบังคับจัดเก็บหรือการดำเนินคดีเกี่ยวกับหรือการพิจารณาอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้ บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้อสนเทศเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นเท่านั้น บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจเปิดเผยข้อสนเทศในการพิจารณาของศาลหรือในการตัดสินของศาลได้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะปรึกษากันในการปรับปรุงเงื่อนไข มาตรการ และวิธีการที่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศดังกล่าว รวมทั้งกรณีการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศที่เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงภาษีอากร

 

2.             ไม่ว่ากรณีใดก็ตามมิให้แปลความบทของวรรค 1 เป็นการตั้งข้อผูกพันบังคับรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดให้

 

                 ก)            ดำเนินมาตรการด้านบริหารโดยขัดกับกฎหมายและวิธีปฏิบัติทางด้านบริหารของรัฐผู้ทำสัญญา รัฐนั้นหรือของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                 ข)            ให้ข้อสนเทศอันมิอาจจัดหาได้ตามกฎหมายหรือตามทางการบริหารโดยปกติของรัฐผู้ทำสัญญา รัฐนั้นหรือรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                 ค)            ให้ข้อสนเทศซึ่งจะเปิดเผยความลับทางการค้า ธุรกิจ อุตสาหกรรม การพาณิชย์หรือวิชาชีพ หรือกรรมวิธีการค้าหรือข้อสนเทศซึ่งหากเปิดเผยจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน

 

 

ข้อ 27
เจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุล

 

                 ไม่มีข้อความใดๆ ในอนุสัญญานี้กระทบต่อเอกสิทธิ์ทางการรัษฎากรของเจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือเจ้าหน้าที่กงสุลตามหลักทั่วไป แห่งกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามบทบัญญัติแห่งความตกลงพิเศษทั้งหลาย

 

 

ข้อ 28
การเริ่มใช้บังคับ

 

1.             อนุสัญญานี้จะได้รับการสัตยาบันและจะได้ทำการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกัน ณ กรุงสตอกโฮล์มโดยเร็วเท่าที่จะทำได้

 

2.             เมื่อมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกันแล้ว อนุสัญญานี้จะเริ่มใช้บังคับในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองและบทบัญญัติของอนุสัญญานี้จะใช้บังคับกับ

 

                 ก)            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับจำนวนเงินที่จ่ายหรือนำส่งให้แก่ผู้มิใช่เป็นผู้มีถิ่นที่

                                อยู่ในหรือหลังจากวันแรกของเดือนมกราคมถัดจากที่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกัน

 

                 ข)            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้อื่นๆ สำหรับปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นในหรือหลังจาก วันแรกของเดือนมกราคมถัดจากที่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกัน

 

3.             ความตกลงระหว่างประเทศสวีเดนกับประเทศไทยเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้และทุน ลงนามที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1961 จะสิ้นสุดลง และยกเลิกการบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับ

 

                 ก)            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีภายใต้บังคับของอนุสัญญานี้นับจากเวลาที่บทบัญญัติของอนุสัญญานี้มี ผลใช้บังคับ

 

                 ข)            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากทุน

 

                                 1)            ในประเทศไทย สำหรับภาษีที่ต้องชำระในหรือหลังปีปฏิทินที่สองถัดจากที่ได้มีการ แลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของอนุสัญญาฉบับนี้

 

                                 2)            ในประเทศสวีเดนสำหรับภาษีที่ได้ประเมินในหรือหลังปีปฏิทินที่สองถัดจากที่ได้มีการ แลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของอนุสัญญาฉบับนี้

 

 

ข้อ 29
การเลิกใช้

 

                 อนุสัญญานี้จะคงใช้บังคับตลอดไปแต่รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดอาจแจ้งการสิ้นสุดของอนุสัญญานี้เป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางการทูตให้รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งทราบในหรือก่อนวันที่ 30 มิถุนายน ในปีปฏิทินใดๆ ที่เริ่มต้นหลังจากสิ้นกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่อนุสัญญานี้เริ่มใช้บังคับ

 

                 ในกรณีเช่นนั้น อนุสัญญานี้จะสิ้นสุดผลบังคับ

 

                 ก)            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับจำนวนที่จ่ายหรือส่งให้แก่ผู้ที่มิได้มีถิ่นที่อยู่ในหรือ หลังจากวันแรกของเดือนมกราคมถัดจากที่ได้เสนอการแจ้งการบอกเลิกนั้น

 

                 ข)            ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้อื่นๆ สำหรับปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นในหรือหลังวัน แรกของเดือนมกราคมถัดจากที่ได้เสนอการแจ้งการบอกเลิกนั้น

 

                 เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องได้ลงนามในพิธีการนี้

 

                 ทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2531 คู่กันสองฉบับเป็นภาษาอังกฤษ

 

สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศไทย

พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา
(สิทธิ เศวตศิลา)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศสวีเดน

 สเตน แอนเดอร์สสัน
(สเตน แอนเดอร์สสัน)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

 

 

พิธีสาร

 

                 ณ เวลาที่ลงนามในอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งประเทศไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสวีเดน เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ ได้ยินยอมตกลงกันว่าบทบัญญัติต่อไปนี้จะประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญา

 

1.             ไม่มีอะไรในอนุสัญญานี้จะแปลความหมายเป็นการขัดขวางประเทศไทยในการจัดเก็บภาษีเงินได้ตามกฎหมายไทย จากกำไรที่ส่งออกหรือจำหน่ายออกจากประเทศไทย โดยสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย

 

2.             ตามบทบัญญัติของวรรค 5 และ 6 ของข้อ 5 คำว่า "เกือบทั้งหมด" ที่ใช้เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมของบุคคลผู้ซึ่งจัดหาคำสั่งซื้ออย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งสำหรับหรือในนามวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือสำหรับหรือในนามของวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่น ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือมีการควบคุมผลประโยชน์ในวิสาหกิจ จะแปลความหมายตามหลักต่อไปนี้

 

                 (1)          กรณีบุคคลมีการจัดหาคำสั่งซื้ออย่างเป็นปกติวิสัยตามที่กล่าวถึงข้างต้นใน 1 ปี จะถือว่าบุคคล นั้นจัดหาคำสั่งซื้อเกือบทั้งหมดเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องใน

                               ระหว่างปีนั้นถ้า

 

                                 ก)            ร้อยละ 75 หรือมากกว่าของค่าตอบแทนที่บุคคลนั้นได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นใน ระหว่างปีมีขึ้นเนื่องมาจากคำสั่งซื้อที่จัดหาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจเช่นนั้นและ

                                                วิสาหกิจอื่นๆ หรือ

 

                                 ข)            ร้อยละ 75 หรือมากกว่าสำหรับจำนวนผลรวมทั้งสิ้นของมูลค่าของสัญญาของคำสั่ง ซื้อทั้งหมดที่บุคคลนั้นจัดหาระหว่างปี มีขึ้นเนื่องจากคำสั่งซื้อที่จัดหาหรือเพื่อในนาม

                                                ของวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นๆ

 

                 (2)          กรณีบุคคลมีการจัดหาคำสั่งซื้ออย่างเป็นปกติวิสัย ตามที่กล่าวถึงข้างต้นใน 2 ปี จะถือว่าบุคคล นั้นจัดหาคำสั่งซื้อเกือบทั้งหมดในนามของวิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องระหว่าง 2 ปี ถ้า

 

                                 ก)            ส่วนเฉลี่ยต่อปีใน 2 ปี ของค่าตอบแทนที่เขาได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้นั้นสำหรับ การจัดหาคำสั่งซื้อเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจเช่นนั้นหรือวิสาหกิจอื่นๆ มีจำนวนเท่า กับร้อยละ 75 หรือมากกว่าของส่วนเฉลี่ยต่อปีของผลรวมของค่าตอบแทนที่บุคคลนั้น

                                                ได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นในระหว่าง 2 ปีนี้ หรือ

 

                                 ข)            ส่วนเฉลี่ยต่อปีของจำนวนผลรวมของมูลค่าสัญญาทั้งสิ้นของคำสั่งซื้อในระหว่างสอง ปีนี้ที่บุคคลนั้นจัดหาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจอื่นๆ มีจำนวนเท่ากับ ร้อยละ 75 หรือมากกว่าของส่วนเฉลี่ยต่อปีของจำนวนผลรวมของมูลค่าสัญญาของคำ สั่งซื้อที่บุคคลนั้นหาในระหว่าง 2 ปีนั้น หรือ

 

                                 ค)            ร้อยละ 75 หรือมากกว่าของค่าตอบแทนที่บุคคลนั้นได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นใน ระหว่างปีที่ 2 มีขึ้นเนื่องจากคำสั่งซื้อที่จัดหาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นหรือ วิสาหกิจอื่นๆ หรือ

 

                                 ง)            ร้อยละ 75 หรือมากกว่าของจำนวนผลรวมทั้งสิ้นของมูลค่าสัญญาของคำสั่งซื้อทั้ง หมดที่บุคคลนั้นจัดหาระหว่างปีที่ 2 มีขึ้นเนื่องจากคำสั่งซื้อที่จัดหาเพื่อหรือในนาม วิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจอื่นๆ

 

                 (3)          กรณีบุคคลมีการจัดหาคำสั่งซื้ออย่างเป็นปกติวิสัย ตามที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นจำนวน 3 ปี หรือมากกว่าจะถือว่าบุคคลนั้นจัดหาคำสั่งซื้อเกือบทั้งหมดในนามของวิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องในระหว่างปีที่ผ่านมา ถ้า

 

                                 ก)            ส่วนเฉลี่ยต่อปีใน 3 ปีที่แล้วของค่าตอบแทนที่บุคคลนั้นได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคล นั้นเป็นการจัดหาคำสั่งซื้อเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจอื่นๆ มีจำนวน เท่ากับร้อยละ 75 หรือมากกว่าส่วนเฉลี่ยต่อปีใน 3 ปีนี้ของผลรวมของค่าตอบแทนที่ บุคคลนั้นได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น

 

                                 ข)            ส่วนเฉลี่ยต่อปีใน 3 ปีที่แล้วสำหรับจำนวนรวมของมูลค่าสัญญาของคำสั่งซื้อที่บุคคล นั้นจัดหาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจอื่นๆ มีจำนวนเท่ากับร้อยละ 75  หรือมากกว่าของส่วนเฉลี่ยต่อปีของจำนวนรวมทั้งสิ้นของมูลค่าสัญญาของคำสั่งซื้อ ทั้งหมดที่บุคคลนั้นจัดหาในระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา หรือ

 

                                 ค)            ร้อยละ 75 หรือมากกว่าของค่าตอบแทนที่บุคคลนั้นได้รับหรือที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้นั้น ระหว่างปีก่อนหรือปีก่อนหน้านั้น มีขึ้นเนื่องจากคำสั่งซื้อที่จัดหาเพื่อหรือในนามของ วิสาหกิจหรือวิสาหกิจอื่นๆ หรือ

 

                                 ง)            ร้อยละ 75 หรือมากกว่าของมูลค่าสัญญาของคำสั่งซื้อทั้งหมดที่บุคคลนั้นจัดหาได้ ระหว่างปีก่อนหรือระหว่างปีก่อนหน้าปีก่อนมีขึ้นเนื่องจากคำสั่งซื้อที่จัดหาเพื่อหรือใน นามของวิสาหกิจหรือวิสาหกิจอื่นๆ

 

                 (4)          คำว่า "ค่าตอบแทน" ที่ใช้ในวรรคนี้หมายถึงค่าตอบแทนสำหรับการให้บริการทุกประเภทของการจัดหาคำสั่งซื้อ

 

                 (5)          เพื่อความมุ่งประสงค์ในการคำนวณส่วนเฉลี่ยตาม (2) และ (3) กฎเกณฑ์เหล่านี้ให้ครอบคลุมเช่นเดียวกันกับค่าตอบแทนและมูลค่าสัญญาของคำสั่งซื้อที่จัดหาระหว่าง 2 ปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้าปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องของอนุสัญญานี้เริ่มมีผลใช้บังคับ

 

                 เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องได้ลงนามในพิธีสารนี้

 

                 ทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2531 คู่กันสองฉบับเป็นภาษาอังกฤษ

 

สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศไทย

พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา
(สิทธิ เศวตศิลา)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศสวีเดน

 สเตน แอนเดอร์สสัน
(สเตน แอนเดอร์สสัน)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011