เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสวีเดน
มีความปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
ขอบข่ายด้านบุคคล
อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย
1. อนุสัญญานี้จะใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้ที่ตั้งบังคับจัดเก็บในนามของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือในนามของส่วนราชการหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่บังคับจัดเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้นหรือจากองค์ประกอบต่างๆ ของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุนให้ถือว่า เป็นภาษีเก็บจากเงินได้
3. ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับ ได้แก่
ก) ในประเทศไทย
(1) ภาษีเงินได้ และ
(2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")
ข) ในประเทศสวีเดน
(1) ภาษีเงินได้ของรัฐรวมทั้งภาษีที่เก็บจากกะลาสีเรือ และภาษีเก็บจากบัตรแลกเปลี่ยน
(2) ภาษีเก็บจากกำไรที่ยังไม่ได้แบ่งสรรของบริษัท และภาษีเก็บจากส่วนแบ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการลดลงของทุนหรือการเลิกบริษัท
(3) ภาษีเก็บจากนักแสดงสาธารณะ
(4) ภาษีเก็บจากการแบ่งปันกำไร และ
(5) ภาษีเงินได้ท้องถิ่น
(ต่อไปนี้เรียกว่า "ภาษีสวีเดน")
4. อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีใดๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันในประการสำคัญซึ่งบังคับจัดเก็บเพิ่มเติมหรือแทนที่ภาษีที่กล่าวถึงข้างต้นหลังจากวันที่ได้มีการลงนามในอนุสัญญานี้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะแจ้งแก่กันและกันเพื่อให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ
บทนิยามทั่วไป
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ก) คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและรวมถึงพื้นที่ใดๆ ซึ่งประชิดกับน่านน้ำอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามกฎหมายไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนด หรืออาจกำหนดในภายหลังให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิภายในพื้นที่นั้นๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้ผิวดิน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติของพื้นดิน ท้องทะเลและดินใต้ผิวดิน
ข) คำว่า "ประเทศสวีเดน" หมายถึงราชอาณาจักรสวีเดนและรวมถึงพื้นที่ภายนอกทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรสวีเดนซึ่งตามกฎหมายของประเทศสวีเดนและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรสวีเดน อาจใช้สิทธิในการสำรวจและหาประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติในพื้นดิน ท้องทะเลและดินใต้ผิวดิน
ค) คำว่า "บุคคล" รวมถึงบุคคลธรรมดา กองมรดก บริษัทและคณะบุคคลอื่นใด
ง) คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคล หรือหน่วยใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคล เพื่อความมุ่งประสงค์ทางภาษี
จ) คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง ประเทศไทยหรือประเทศสวีเดนแล้วแต่บริบทจะกำหนด
ฉ) คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง วิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาและวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
ช) คำว่า "การจราจรระหว่างประเทศ" หมายถึง การขนส่งใดๆ ทางเรือหรือทางอากาศยานซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เว้นแต่เมื่อเรือหรืออากาศยานที่เป็นเพียงการดำเนินการระหว่างสถานที่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
ซ) คำว่า "คนชาติ" หมายถึง
(1) บุคคลธรรมดาใดๆ ที่มีสัญชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
(2) นิติบุคคลใดๆ ห้างหุ้นส่วน สมาคม และหน่วยอื่นใดที่ได้รับสถานภาพเช่นนั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง
ฌ) คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึง
(1) ในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
(2) ในประเทศสวีเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ หรือเจ้าหน้าที่ผู้ถูกระบุให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้
ญ) คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีไทยหรือภาษีสวีเดนแล้วแต่บริบทจะกำหนด อย่างไรก็ตามคำนี้จะไม่รวมถึง ค่าปรับ เงินเพิ่ม หรือดอกเบี้ย สำหรับการชำระภาษีหลังกำหนด
2. ในการใช้บังคับบทแห่งอนุสัญญาโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใดๆ ที่มิได้นิยามไว้เป็นอย่างอื่นให้มีความหมายซึ่งคำนั้นๆ มีอยู่ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเกี่ยวกับภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ผู้มีถิ่นที่อยู่
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง"หมายถึงบุคคลใดๆ ผู้ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นมีหน้าที่เสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานที่จดทะเบียนบริษัท สถานจัดการหรือโดยเกณฑ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่คำนี้ไม่รวมถึงบุคคลใดๆ ผู้ซึ่งจะต้องเสียภาษีในรัฐนั้นเฉพาะจากเงินได้ส่วนที่มีอยู่ในรัฐนั้น
2. โดยเหตุแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลธรรมดาใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้กำหนดสถานภาพของบุคคลดังต่อไปนี้
ก) ให้ถือว่า บุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐซึ่งตนมีที่อยู่ถาวร ถ้าบุคคลธรรมดานั้น มีที่อยู่ถาวรในทั้งสองรัฐ ให้ถือว่า บุคคลนั้น เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัว และทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)
ข) ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐอันเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญได้ หรือ ถ้าบุคคลธรรมดานั้นไม่มีที่อยู่ถาวรในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่า บุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติวิสัย
ค) ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติวิสัยในทั้งสองรัฐ หรือไม่มีที่อยู่ในรัฐหนึ่งรัฐใด ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ตนเป็นคนชาติ
ง) ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของทั้งสองรัฐหรือไม่เป็นคนชาติของรัฐหนึ่งรัฐใด ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
3. โดยเหตุแห่งบทบัญญัติของวรรค 1 บุคคลอื่นนอกเหนือจากบุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
สถานประกอบการถาวร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึง สถานธุรกิจประจำ ซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" รวมถึงโดยเฉพาะ
ก) สถานจัดการ
ข) สาขา
ค) สำนักงาน
ง) โรงงาน
จ) โรงช่าง
ฉ) คลังสินค้าในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกในการเก็บรักษาสินค้า และ
ช) เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อแก๊ซ เหมืองหินหรือแหล่งขุดทรัพยากรธรรมชาติอื่นใด
3. คำว่า "สถานประกอบการถาวร"ในทำนองเดียวกันให้รวมถึง
ก) ที่ตั้งอาคาร โครงการก่อสร้าง โครงการประกอบหรือโครงการติดตั้ง หรือกิจกรรมตรวจควบคุมเกี่ยวกับการนั้นแต่เฉพาะในกรณีซึ่งที่ตั้งโครงการหรือกิจกรรมที่อยู่ในระยะเวลาหนึ่งเกินกว่า
(1) 6 เดือน ในกรณีที่มีการติดตั้งหรือการตั้งเครื่องบริภัณฑ์โรงงาน หรือเครื่องจักร รวมถึงการก่อสร้างเพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อการติดตั้งเช่นว่านั้น
(2) 3 เดือน ในกรณีอื่นๆ
ข) การให้บริการรวมตลอดถึงการให้บริการปรึกษาโดยวิสาหกิจผ่านทางลูกจ้าง หรือบุคคลที่ว่าจ้างโดยวิสาหกิจเพื่อความมุ่งประสงค์เช่นว่านั้นแต่เฉพาะในกรณีที่กิจกรรมในลักษณะนั้นได้มีอยู่ในประเทศนั้น (สำหรับโครงการอย่างเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกัน) ในระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือนภายในรอบระยะเวลา 12 เดือนใดๆ
4. แม้จะมีบทบัญญัติในวรรคก่อนๆ ของข้อนี้อยู่คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง
ก) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาหรือการจัดแสดงสิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ
ข) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษาหรือจัดแสดง
ค) การเก็บรักษามูลภัณฑ์สิ่งของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อประโยชน์แห่งการแปรรูป โดยวิสาหกิจอื่น
ง) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการจัดซื้อของสินค้า หรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศให้กับวิสาหกิจนั้น
จ) การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจกรรมสำหรับวิสาหกิจอื่นใดที่มีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบ
5. แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 อยู่ในกรณีที่บุคคลนอกเหนือจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 6 กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง วิสาหกิจนั้นจะถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกในส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมใดๆ ซึ่งบุคคลนั้นใดกระทำเพื่อวิสาหกิจนั้น ถ้าบุคคลดังกล่าว
ก) มีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งอำนาจในการทำสัญญาในนามของวิสาหกิจนั้นเว้นแต่การกระทำของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่กิจกรรมทั้งหลายที่กล่าวถึงในวรรค 4 ซึ่งถ้ากระทำผ่านสถานธุรกิจประจำ จะไม่ทำให้สถานธุรกิจประจำนี้ เป็นสถานประกอบการถาวรตามบทบัญญัติของวรรคนั้น หรือ
ข) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้นแต่เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกซึ่งมูลภัณฑ์ของของหรือสินค้า และดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือส่งมอบสินค้าหรือของในนามของวิสาหกิจอยู่เป็นประจำ หรือ
ค) ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น แต่จัดหาคำสั่งซื้ออยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้นหรือวิสาหกิจอื่น ซึ่งถูกควบคุมหรือมีการควบคุมผลประโยชน์ในวิสาหกิจนั้น
6. วิสาหกิจจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญานั้น ผ่านทางนายหน้า ตัวแทนการค้าทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน อย่างไรก็ตามกิจกรรมที่ตัวแทนเช่นว่านั้นได้กระทำทั้งหมดในนามของวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นซึ่งถูกควบคุมหรือมีการควบคุมผลประโยชน์ในวิสาหกิจ ตัวแทนนั้นจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระตามความหมายของวรรคนี้ หากเป็นกรณีเช่นนั้นให้ใช้บทบัญญัติของวรรค 5 บังคับ
7. ข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ควบคุมหรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) จะไม่เป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง
8. แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 7 กรณีที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ขายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งสินค้าที่มีการผลิต ประกอบ เปลี่ยนแปลง บรรจุหีบห่อ หรือจัดการจำหน่ายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โดยวิสาหกิจที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เพื่อ หรือในหรือตามคำสั่งของวิสาหกิจแรก และ
ก) วิสาหกิจใดวิสาหกิจหนึ่งเข้าร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมในการจัดการการควบคุมหรือร่วมทุนในวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
ข) บุคคลเดียวกันเข้าร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมในการจัดการ การควบคุมหรือร่วมทุนในวิสาหกิจทั้งสอง
ดังนั้นเพื่อความมุ่งประสงค์ของอนุสัญญานี้จะถือว่า วิสาหกิจแรกนั้นมีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และดำเนินธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นผ่านสถานประกอบการถาวร