เมนูปิด

ข้อ 21

เงินได้อื่น

 

1.             บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม ที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อบทก่อนๆ ของอนุสัญญานี้จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น

 

2.             บทบัญญัติของวรรค 1 จะไม่ใช้บังคับกับเงินได้นอกเหนือจากเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่บัญญัติไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 ถ้าผู้รับเงินได้ดังกล่าวนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ดำเนินธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งผ่านทางสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐหนึ่งนั้น หรือดำเนินการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ จากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้น และสิทธิหรือทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่ได้จ่ายไปนั้นมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำดังกล่าว ในกรณีเช่นนั้นจะใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 บรรดาเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับข้อบทของอนุสัญญานี้ และเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

 

ข้อ 22

กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

 

1.             ภายใต้บทบัญญัติของอนุสัญญานี้ กรณีผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับยกเว้น หรือได้สิทธิลดหย่อนภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งการยกเว้นหรือการลดหย่อนที่คล้ายคลึงกันจะใช้บังคับกับกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งของผู้ตาย ในกรณีที่ผู้รับประโยชน์คนเดียวหรือหลายคนเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก อย่างไรก็ตาม การยกเว้นหรือลดหย่อนเช่นนั้นจะใช้บังคับกับส่วนของเงินได้หรือทุนซึ่งผู้รับประโยชน์มีสิทธิเท่านั้น

 

2.             ในกรณีกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งของผู้ตายได้เสียภาษีจากเงินได้ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งตามบทบัญญัติของวรรค 1 ของข้อนี้ ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะได้รับการลดหย่อนภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้นตามบทบัญญัติของข้อ 23

 

 

ข้อ 23

การขจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อน

 

1.             กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งจะยังคงใช้บังคับต่อไปในการเก็บภาษีอากรจากเงินได้ในรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ เว้นแต่ในกรณีที่มีบทบัญญัติไว้ชัดแจ้งให้เป็นอย่างอื่นในอนุสัญญานี้

 

2.             ในกรณีของประเทศไทย เมื่อผู้มีถิ่นที่อยู่ของประเทศไทยได้รับเงินได้ซึ่งตามกฎหมายของประเทศสวีเดนและตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้อาจเก็บภาษีได้ในประเทศสวีเดน ประเทศไทยจะยอมให้ถือเป็นส่วนหักออกจากภาษีไทยที่เก็บจากเงินได้ส่วนนั้น เป็นจำนวนเท่ากับภาษีที่จ่ายในประเทศสวีเดน อย่างไรก็ตามการหักเช่นว่านั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะให้มีการหักตามจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้ ที่ได้รับจากประเทศสวีเดน

 

3.             ในกรณีของประเทศสวีเดน การซ้ำซ้อนของภาษีจะหลีกเลี่ยงดังนี้

 

                 ก)            ในกรณีผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสวีเดนได้รับเงินได้ซึ่งตามกฎหมายของประเทศไทยและตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้อาจเก็บภาษีได้ในประเทศไทย ประเทศสวีเดนจะยอมให้ถือเป็นส่วนหักออกจากภาษีที่เก็บจากเงินได้ ส่วนนั้นเท่ากับภาษีไทยที่ได้ชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จำนวนนั้น ทั้งนี้ไห้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายสวีเดนเกี่ยวกับการให้เครดิตสำหรับภาษีต่างประเทศ (ซึ่งอาจจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นคราวๆ โดยไม่กระทบกระเทือนสาระสำคัญ)

 

                เพื่อการปฏิบัติตามอนุวรรคนี้ กฎต่อไปนี้ให้ใช้บังคับ

 

                                 (1)          ภาษีไทยที่ได้ชำระเงินปันผลซึ่งไม่ได้รับยกเว้นจากภาษีสวีเดนตามบทบัญญัติของวรรค 4 ของข้อ 10 และได้รับโดยบริษัท ที่มิใช่เป็นห้างหุ้นส่วนซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสวีเดนไม่ว่ากรณีใดๆ ให้ถือเสมือนหนึ่งว่า ได้จ่ายไปในอัตราร้อยละ 25 ของเงินปันผลทั้งสิ้น

 

                                 (2)          ภาษีไทยที่ได้ชำระจากค่าสิทธิตามบทบัญญัติของวรรค 2 ของข้อ 12 ไม่ว่าในกรณีใดๆ ให้ถือเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายไปในอัตราร้อยละ 20 ของค่าสิทธิทั้งสิ้น

 

                                 (3)          คำว่า "ภาษีไทยที่ได้ชำระ" ที่ใช้ในอนุวรรคนี้ให้ถือว่ารวมถึงภาษีไทย ซึ่งควรจะต้องชำระถ้าการยกเว้นจากหรือลดหย่อนของภาษีไทยไม่ได้มีขึ้นตามกฎหมายกระตุ้นใจพิเศษซึ่งมีผลใช้บังคับ ณ วันลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ หรือซึ่งตามความตกลงของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของทั้งสองรัฐอาจประกาศใช้ภายหลังเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน

 

                 ข)            แม้จะมีบทบัญญัติของอนุวรรค ก ของวรรคนี้ ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสวีเดนได้รับเงินได้หรือผลได้ซึ่งตามบทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 หรือวรรค 2 ของข้อ 13 อาจเสียภาษีในประเทศไทย ประเทศสวีเดน จะยกเว้นภาษีให้กับเงินได้หรือผลได้เหล่านั้นโดยมีเงื่อนไขว่าส่วนสำคัญของเงินได้หรือผลได้นั้นๆ เกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพอิสระหรือจากกิจกรรมธุรกิจ นอกเหนือจากการจัดการหลักทรัพย์และทรัพย์สินที่คล้ายคลึงกัน

 

                 ค)            ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสวีเดนได้รับเงินได้ซึ่งตามบทบัญญัติของข้อ 14 จะเก็บภาษีได้เฉพาะในประเทศไทยหรือเงินได้หรือผลได้ซึ่งตามบทบัญญัติของอนุวรรคของวรรคนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีสวีเดน ประเทศสวีเดนอาจจะนำรายการเงินได้ ซึ่งจะต้องเสียภาษีเฉพาะในประเทศไทยหรือผลได้ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีสวีเดน ตามลำดับมารวมคำนวณในการกำหนดอัตราภาษีก้าวหน้าของภาษีสวีเดน

 

 

ข้อ 24

การไม่เลือกประติบัต

 

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใดเกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับคนชาติของรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสภาพการณ์เดียวกัน

 

2.             การเก็บภาษีจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่เรียกเก็บภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกัน บทบัญญัติของข้อนี้จะไม่แปลความเป็นการผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่จะให้ค่าลดหย่อนส่วนบุคคลใดๆ การบรรเทาภาระและการหักลดแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น เพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษีอากรเนื่องมาจากมีสถานะเป็นพลเมืองหรือตามความรับผิดชอบต่อครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

3.             เว้นแต่ในกรณีบทบัญญัติของวรรค 1 ของข้อ 9 วรรค 7 ของข้อ 11 หรือวรรค 6 ของข้อ 12 ใช้บังคับดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และการจ่ายอื่นๆ โดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ในการกำหนดผลกำไรที่พึ่งเสียภาษีของวิสาหกิจนั้นจะหักลดหย่อนได้ตามเงื่อนไขเดียวกัน เสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายเงินเหล่านั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก

 

4.             วิสาหกิจของรัฐทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียวหรือหลายคนเป็นเจ้าของควบคุมทุนทั้งหมด หรือบางส่วน โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม จะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดใดๆ เกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องซึ่งวิสาหกิจอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันของรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม

 

 

ข้อ 25

วิธีการเพื่อความตกลงร่วมกัน

 

1.             ในกรณีที่บุคคลหนึ่งพิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ผู้นั้นอาจอื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นได้แม้จะมีทางแก้ไขที่บัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของรัฐเหล่านั้นหรือถ้าเรื่องราวของบุคคลนั้นอยู่ภายใต้บังคับของวรรค 1 ของข้อ 24 ให้ยื่นต่อรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งบุคคลนั้นเป็นคนชาติ กรณีนี้ต้องยื่นภายในสามปี นับจากการบอกกล่าวครั้งแรกของการกระทำที่มีผลให้ต้องเสียภาษีโดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควร และถ้าตนไม่สามารถหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะต้องพยายามแก้ไขกรณีนั้นโดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อเว้นการเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้

 

3.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะต้องพยายามแก้ไขข้อยุ่งยากหรือข้อสงสัยใดที่เกิดขึ้นในเรื่องการตีความหรือการนำอนุสัญญานี้มาใช้บังคับโดยความตกลงร่วมกัน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจปรึกษาหรือกันขจัดการเก็บภาษีซ้อนในกรณีต่างๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ด้วย

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐอาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้มีการตกลงกันตามความหมายแห่งวรรคก่อนๆ นั้น เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะปรึกษาร่วมกันในการปรับปรุง ระเบียบการ เงื่อนไข มาตรการ วิธีการที่เหมาะสมให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติเพื่อความตกลงร่วมกันตามที่บัญญัติในอนุสัญญานี้

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011