อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ
รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์
เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
รัฐบาลแห่งราชจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์
โดยปรารถนาที่จะทำอนุสัญญาเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีจากเงินได้ ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
ขอบข่ายด้านบุคคล
อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับ แก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ
ภาษีที่อยู่ในขอบข่าย
1. อนุสัญญานี้จักใช้บังคับแก่ภาษีจากเงินได้ที่ตั้งบังคับในนามของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ หรือส่วนราชการ หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ของแต่ละรัฐโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ
2. ภาษีทั้งปวงที่ตั้งบังคับเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบทั้งหลายของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่าย สังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือน ซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้จ่าย ให้ถือว่าเป็นภาษีที่เก็บจากเงินได้
3. ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอนุสัญญานี้ใช้บังคับ โดยเฉพาะได้แก่
ก. ในกรณีของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์
- ภาษีเงินได้ (PODATEK DOCHODOWY)
- ภาษีเก็บจากค่าจ้างหรือเงินเดือน (PODATEK OF
WYNAGRODZEN) และ
- ภาษีรายได้เพิ่มเติม (PODATEK WYROWNAWEZY)
(ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีโปแลนด์")
ข. ในกรณีของราชอาณาจักรไทย - ภาษีเงินได้, และ
- ภาษีเงินได้น้ำมันปิโตรเลียม
(ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")
4. อนุสัญญานี้จักใช้บังคับแก่ภาษีใดๆ ที่เหมือนกันหรือในสาระสำคัญคล้ายคลึงกันซึ่งจะได้ตั้งบังคับเพิ่มเติมจากหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย เมื่อสิ้นปีแต่ละปีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะได้แจ้งให้ทราบแก่กันและกันถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ
บทนิยามทั่วไป
1. ในอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ก. คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึงสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ หรือราชอาณาจักรไทยแล้วแต่บริบทจะกำหนด
ข. คำว่า "บุคคล" รวมถึง บุคคลธรรมดา บริษัทหรือนิติบุคคลและหน่วยอื่นใด ซึ่งถือเป็นหน่วยที่เก็บภาษีได้ตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใด
ค. คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคลหรือหน่วยใดซึ่งได้รับการปฏิบัติอย่างนิติบุคคลเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษีแห่งกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใด
ง. คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายความตามลำดับถึง วิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งและวิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
จ. คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" ในกรณีของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ หมายถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจและในกรณีของราชอาณาจักรไทยหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ
ฉ. คำว่า "คนชาติ" หมายถึง
- ในกรณีของโปแลนด์ บุคคลธรรมดาใดก็ตามที่ถือสัญชาติโปแลนด์และทั้งนิติบุคคลใดๆ หรือสมาคม หรือหน่วยอื่นใดที่ตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายที่ใช้บังคับในโปแลนด์
- ในกรณีของประเทศไทย บุคคลธรรมดาทั้งปวงที่มีสัญชาติไทยและนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนและสมาคมทั้งปวง ที่ได้รับสถานะเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับในประเทศไทย
2. ในการที่รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งใช้บังคับอนุสัญญานี้ คำใดๆ ที่มิได้นิยามไว้เป็นอย่างอื่น จักมีความหมายซึ่งคำนั้นมีอยู่ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเกี่ยวกับภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
ภูมิลำเนาเพื่อการรัษฎากร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึงบุคคลใดๆ ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นจำต้องเสียภาษีในรัฐนั้นโดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานจัดการ หรือสถานการจดทะเบียนหรือโดยเกณฑ์อื่นใด ในทำนองเดียวกัน
2. ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทของวรรค 1 บุคคลธรรมดาคนใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจักวินิจฉัยตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
ก. ให้ถือว่าบุคคลธรรมดามีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใด เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรับผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัว และทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกว่า (ศูนย์กลางผลประโยชน์อันสำคัญ)
ข. ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งเก็บที่ตั้งศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญของบุคคลธรรมดาได้ก็ดี หรือถ้าไม่มีที่อยู่ถาวรของบุคคลธรรมดาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐก็ดี ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติ
ค. ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือไม่มีอยู่เลยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ
ง. ถ้าปัญหาเรื่องของการมีถิ่นที่อยู่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ตามบทบังคับของอนุวรรค ก. ข. และ ค. ของวรรคนี้ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐนั้นแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
3. ถ้าโดยเหตุผลแห่งบัญญัติของวรรค 1 บุคคลใดที่มิใช่บุคคลธรรมดาเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน
สถานประกอบการถาวร
1. เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึงสถานธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมด หรือแต่บางส่วน
2. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะจักรวมถึง
ก สถานจัดการ
ข สาขา
ค สำนักงาน
ง โรงงาน
จ โรงช่าง หรือคลังสินค้า
ฉ เหมืองแร่ บ่อน้ำมัน เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นที่ใช้ในการขุดทรัพยากรธรรมชาติ
3. คำว่า "สถานประกอบการถาวร" จักไม่ถือว่ารวมถึง
ก การใช้เครื่องอำนวยความสะดวก เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดง หรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ
ข การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบ
ค การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ
ง การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา เพื่อจัดหาข้อสนเทศ เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมต่างๆ ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบของธุรกิจ
4. บุคคลใดที่กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนอกจากนายหน้า ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5 ให้ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของรัฐแรกแต่ต้องมีเงื่อนไขว่า
ก บุคคลนั้นมีและใช้อย่างเป็นปกติวิสัย ในรัฐนั้นซึ่งอำนาจในการทำสัญญา เว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจ หรือ
ข บุคคลนั้นได้เก็บรักษาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐแรกนั้นซึ่งมูลภัณฑ์ของของสินค้าที่เป็นของวิสาหกิจและดำเนินการสั่งซื้อหรือทำการส่งมอบในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ
ค บุคคลนั้นจัดหาอย่างเป็นปกติวิสัยในรัฐแรกนั้น ซึ่งคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั่นเองหรือเพื่อวิสาหกิจนั้นและวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น
5 วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจักไม่ถือว่ามีสถานประกอบการในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนค้าต่างทั่วไปหรือตัวแทนอื่นใด ที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ซึ่งบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำไปตามทางอันเป็นปกติแห่งธุรกิจของตน
6 เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่า บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีบริษัทย่อยซึ่งเป็นบริษัทที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งหรือได้ดำเนินการทางการค้าหรือธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น (จะโดยผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทย่อยนั้นเป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทใหญ่