เมนูปิด

ข้อ  21

เงินได้ซึ่งมิได้ระบุไว้ชัดแจ้ง

 

                บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งมิได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อก่อน ๆแห่งอนุสัญญานี้  อาจเก็บภาษีได้ในรัฐที่เงินได้เกิดขึ้น

 

 

บทที่  4

วิธีขจัดการเก็บภาษีซ้อน

 

 

ข้อ  22

การขจัดการเก็บภาษีซ้อน

 

                ให้หลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อนตามวิธีต่อไปนี้

 

1.         ในกรณีของประเทศไทย

 

                ภาษีปากีสถานซึ่งต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งภายในประเทศปากีสถาน  จะยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีไทยซึ่งต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ดังกล่าวนั้น  อย่างไรก็ตามเครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะใเครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับรายการเงินได้นั้น

 

2          ในกรณีของประเทศปากีสถาน

 

                ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายภาษีของประเทศปากีสถานเกี่ยวกับการยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีปากีสถาน  สำหรับภาษีที่ต้องชำระในประเทศหนึ่งนอกประเทศปากีสถาน  ภาษีไทยที่ต้องชำระโดยบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ปากีสถานไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งประเทศไทย(รวมทั้งเงินได้เพิ่มพูนขึ้นหรือเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ตามบทบัญญัติของกฎหมายปากีสถานถือว่าได้เพิ่มพูนขึ้นหรือเกิดขึ้นในประเทศปากีสถาน)  จะยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีปากีสถานอันต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น

 

3              เพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรค  1  และ  2  คำว่า  “ภาษีไทยที่ต้องชำระ”  หรือ  “ภาษีปากีสถานที่ต้องชำระ” จะถือว่ารวมถึงจำนวนภาษีไทยหรือภาษีปากีสถานซึ่งควรจะต้องชำระถ้าภาษีไทยหรือภาษีปากีสถานเช่นว่านั้นไม่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนตามกฎหมายส่งเสริมพิเศษ ซึ่งมุ่งหมายที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจในประเทศไทยหรือในประเทศปากีสถาน  ซึ่งมีผลใช้บังคับ  ณ  วันที่ลงนามในอนุสัญญานี้  หรือซึ่งอาจนำมาใช้ภายหลัง  เมื่อได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือมีการเพิ่มเติมกฎหมายต่าง ๆ  ที่มีอยู่แล้ว

 

4.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้  กำไร  เงินได้  หรือผลได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งถูกเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งตามอนุสัญญานี้  จะถือว่าเกิดขึ้นจากแหล่งในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

 

บทที่  5

บทบัญญัติพิเศษ

 

 

ข้อ  23

การไม่เลือกประติบัติ

 

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในคัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใด ๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับการนั้น  อันเป็นการนอกเหนือไปจาก  หรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน

 

2.             บุคคลผู้ไม่ปรากฏสัญชาติที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใด ๆ  หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใดๆ  เกี่ยวกับการนั้น  อันเป็นการนอกเหนือไปจาก  หรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน

 

3.             ภาษีอากรเก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสํญญาอีกรับหนึ่งจะไม่เรียกเก็บในอีกรับหนึ่งนั้นโดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน

 

4.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง  หนึ่งคนหรือมากกว่าเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม  จะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกให้เสียภาษีอากรใด ๆ  หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดใด ๆ  เกี่ยวกับการนั้น  อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐแรกนั้นถูดหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม

 

5.             ไม่มีข้อความใดในข้อนี้ที่จะถือเป็น

 

                 (ก)          การผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะให้แผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง  ซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคล  การผ่อนผัน  การคืนภาษี  และการหักลดตามความมุ่งประสงค์ในทางภาษี  โดยเหตุแห่งสถานะทางแพ่งหรือความรับผิดชอบของครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

                 (ข)          การมีผลบังคับบทบัญญัติของกฎหมายปากีสถานซึ่งจ่ายคืนภาษีให้กับบริษัทซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการประกาศและการจ่ายเงินปันผล

 

6.             ในข้อนี้  คำว่า  “ภาษีอากร”  หมายถึง  ภาษีอากรซึ่งอยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้

 

 

ข้อ  24

วิธีการเพื่อความตกลงร่วมกัน

 

1.             ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารับหนึ่งพิจารณาว่า  การกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้  ไม่ว่า  ทางแก้ไขตามกฎหมายประจำชาติของรัฐเหล่านั้นจะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม  ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีถิ่นที่อยู่  หรือหากกรณีของเขาเป็นไปตามวรรค  1  ของข้อ  23  อาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอกนาจของรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ กรณีนี้ต้องยื่นเสนอภายในสองปีนับจากการแจ้งครั้งแรกของการจัดเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควรและถ้าตนไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง  เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะพยายามแก้ไขกรณีนั้นโดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง  เพื่อการเว้นการเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้  ความตกลงใด ๆ  ที่มีขึ้นจะดำเนินการได้ไม่ว่าข้อจำกัดด้านเวลาในกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาจะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม

 

3.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐพยายามแก้ไขความยุ่งยากหรือข้อสงสัย อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยตกลงร่วมกัน  เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยังอาจปรึกษาหารือกันเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้อนในบรรดากรณีที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ด้วย

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ  อาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อให้มีความตกลงตามความหมายแห่งวรรคก่อน ๆ  เมื่อเห็นเป็นการสมควรที่จะและเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยวาจาเพื่อให้มีความตกลงกัน  การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนั้นอาจกระทำโดยผ่านทางคณะกรรมธิการอันประกอบด้วยผู้แทนของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ  25

การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ

 

1.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะแลกเปลี่ยนข้อสนเทศอันจำเป็นแก่  การอนุวรรตตามบทบัญญัติของนุสัญญานี้  หรือของกฎหมายภายในของรัฐผู้ทำสัญญาเกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้เท่าที่ภาษีอากรตามกฎหมายนั้นไม่ขัดกับอนุสัญญา  การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศจะไม่ถูกจำกัดโดยข้อ  1  ข้อสนเทศใด ๆ  ที่ได้รับโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะถือว่าเป็นความลับเช่นกันกับข้อสนเทศที่ได้รับภายใต้กฎหมายภายในของรัฐนั้น  และอาจจะเปิดเผยได้เฉพาะกับบุคคลหรือเจ้าหน้าที่  (รวมทั้งศาลและองค์กรฝ่ายบริหาร)  ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประเมิน  หรือการจัดเก็บ  การบังคับ  หรือการดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือการชี้ขาดคำอุทรณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีที่อยู่ในขอบเขตของอนุสัญญานี้  บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้อสนเทศนั้นเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นเท่านั้น  บุคคลหรือเจ่าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้อสนเทศนั้นเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นเท่านั้น  บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจเปิดเผยข้อสนเทศในกระบวนพิจารณาในศาลโดยเปิดเผย  หรือการวินิจฉัยชี้ขาดของศาล

 

2.             ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม  มิให้ถือบทบัญญัติของวรรค  1  เป็นการตั้งข้อผูกพันบังคับรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดให้

 

                 (ก)          ดำเนินมาตรการทางการบริหาร  โดยขัดกับกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางการบริหารของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น  หรืออีกรัฐหนึ่ง

 

                 (ข)          ให้รายละเอียดอันมิอาจจัดหาได้ตามกฎหมายหรือตามทางการบริหารโดยปกติของรับผู้ทำสัญญารัฐนั้น  หรืออีกรัฐหนึ่ง

 

                 (ค)          ให้ข้อสนเทศซึ่งจะเปิดเผยความลับทางการค้า  ธุรกิจ  อุตสาหกรรม  พาณิชยกรรม  หรือวิชาชีพหรือกรรมวิธีการค้า

 

                 (ง)          ให้ข้อสนเทศ  ซึ่งหากเปิดเผยจะเป็นการขัดกับอธิปไตย  ความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011