เงินได้ซึ่งมิได้ระบุไว้ชัดแจ้ง
บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งมิได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อก่อน ๆแห่งอนุสัญญานี้ อาจเก็บภาษีได้ในรัฐที่เงินได้เกิดขึ้น
วิธีขจัดการเก็บภาษีซ้อน
การขจัดการเก็บภาษีซ้อน
ให้หลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อนตามวิธีต่อไปนี้
1. ในกรณีของประเทศไทย
ภาษีปากีสถานซึ่งต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งภายในประเทศปากีสถาน จะยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีไทยซึ่งต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ดังกล่าวนั้น อย่างไรก็ตามเครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะใเครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับรายการเงินได้นั้น
2 ในกรณีของประเทศปากีสถาน
ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายภาษีของประเทศปากีสถานเกี่ยวกับการยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีปากีสถาน สำหรับภาษีที่ต้องชำระในประเทศหนึ่งนอกประเทศปากีสถาน ภาษีไทยที่ต้องชำระโดยบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ปากีสถานไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้จากแหล่งประเทศไทย(รวมทั้งเงินได้เพิ่มพูนขึ้นหรือเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ตามบทบัญญัติของกฎหมายปากีสถานถือว่าได้เพิ่มพูนขึ้นหรือเกิดขึ้นในประเทศปากีสถาน) จะยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีปากีสถานอันต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น
3 เพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรค 1 และ 2 คำว่า ภาษีไทยที่ต้องชำระ หรือ ภาษีปากีสถานที่ต้องชำระ จะถือว่ารวมถึงจำนวนภาษีไทยหรือภาษีปากีสถานซึ่งควรจะต้องชำระถ้าภาษีไทยหรือภาษีปากีสถานเช่นว่านั้นไม่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนตามกฎหมายส่งเสริมพิเศษ ซึ่งมุ่งหมายที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจในประเทศไทยหรือในประเทศปากีสถาน ซึ่งมีผลใช้บังคับ ณ วันที่ลงนามในอนุสัญญานี้ หรือซึ่งอาจนำมาใช้ภายหลัง เมื่อได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือมีการเพิ่มเติมกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว
4. เพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้ กำไร เงินได้ หรือผลได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งถูกเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งตามอนุสัญญานี้ จะถือว่าเกิดขึ้นจากแหล่งในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น
บทบัญญัติพิเศษ
การไม่เลือกประติบัติ
1. คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในคัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใด ๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจาก หรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน
2. บุคคลผู้ไม่ปรากฏสัญชาติที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใด ๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใดๆ เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจาก หรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน
3. ภาษีอากรเก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสํญญาอีกรับหนึ่งจะไม่เรียกเก็บในอีกรับหนึ่งนั้นโดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของอีกรัฐหนึ่งที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน
4. วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หนึ่งคนหรือมากกว่าเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกให้เสียภาษีอากรใด ๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐแรกนั้นถูดหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตาม
5. ไม่มีข้อความใดในข้อนี้ที่จะถือเป็น
(ก) การผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะให้แผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคล การผ่อนผัน การคืนภาษี และการหักลดตามความมุ่งประสงค์ในทางภาษี โดยเหตุแห่งสถานะทางแพ่งหรือความรับผิดชอบของครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน
(ข) การมีผลบังคับบทบัญญัติของกฎหมายปากีสถานซึ่งจ่ายคืนภาษีให้กับบริษัทซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการประกาศและการจ่ายเงินปันผล
6. ในข้อนี้ คำว่า ภาษีอากร หมายถึง ภาษีอากรซึ่งอยู่ในบังคับของอนุสัญญานี้
วิธีการเพื่อความตกลงร่วมกัน
1. ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารับหนึ่งพิจารณาว่า การกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ ไม่ว่า ทางแก้ไขตามกฎหมายประจำชาติของรัฐเหล่านั้นจะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีถิ่นที่อยู่ หรือหากกรณีของเขาเป็นไปตามวรรค 1 ของข้อ 23 อาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอกนาจของรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ กรณีนี้ต้องยื่นเสนอภายในสองปีนับจากการแจ้งครั้งแรกของการจัดเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้
2. ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควรและถ้าตนไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะพยายามแก้ไขกรณีนั้นโดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีอันไม่เป็นไปตามอนุสัญญานี้ ความตกลงใด ๆ ที่มีขึ้นจะดำเนินการได้ไม่ว่าข้อจำกัดด้านเวลาในกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาจะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม
3. เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐพยายามแก้ไขความยุ่งยากหรือข้อสงสัย อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้บังคับอนุสัญญานี้โดยตกลงร่วมกัน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยังอาจปรึกษาหารือกันเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้อนในบรรดากรณีที่มิได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ด้วย
4. เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ อาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อให้มีความตกลงตามความหมายแห่งวรรคก่อน ๆ เมื่อเห็นเป็นการสมควรที่จะและเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยวาจาเพื่อให้มีความตกลงกัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนั้นอาจกระทำโดยผ่านทางคณะกรรมธิการอันประกอบด้วยผู้แทนของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ
การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศ
1. เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะแลกเปลี่ยนข้อสนเทศอันจำเป็นแก่ การอนุวรรตตามบทบัญญัติของนุสัญญานี้ หรือของกฎหมายภายในของรัฐผู้ทำสัญญาเกี่ยวกับภาษีอากรที่อยู่ในขอบข่ายของอนุสัญญานี้เท่าที่ภาษีอากรตามกฎหมายนั้นไม่ขัดกับอนุสัญญา การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศจะไม่ถูกจำกัดโดยข้อ 1 ข้อสนเทศใด ๆ ที่ได้รับโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะถือว่าเป็นความลับเช่นกันกับข้อสนเทศที่ได้รับภายใต้กฎหมายภายในของรัฐนั้น และอาจจะเปิดเผยได้เฉพาะกับบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ (รวมทั้งศาลและองค์กรฝ่ายบริหาร) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประเมิน หรือการจัดเก็บ การบังคับ หรือการดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือการชี้ขาดคำอุทรณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีที่อยู่ในขอบเขตของอนุสัญญานี้ บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้อสนเทศนั้นเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นเท่านั้น บุคคลหรือเจ่าหน้าที่ดังกล่าวจะใช้ข้อสนเทศนั้นเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นเท่านั้น บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวอาจเปิดเผยข้อสนเทศในกระบวนพิจารณาในศาลโดยเปิดเผย หรือการวินิจฉัยชี้ขาดของศาล
2. ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม มิให้ถือบทบัญญัติของวรรค 1 เป็นการตั้งข้อผูกพันบังคับรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดให้
(ก) ดำเนินมาตรการทางการบริหาร โดยขัดกับกฎหมายหรือวิธีปฏิบัติทางการบริหารของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น หรืออีกรัฐหนึ่ง
(ข) ให้รายละเอียดอันมิอาจจัดหาได้ตามกฎหมายหรือตามทางการบริหารโดยปกติของรับผู้ทำสัญญารัฐนั้น หรืออีกรัฐหนึ่ง
(ค) ให้ข้อสนเทศซึ่งจะเปิดเผยความลับทางการค้า ธุรกิจ อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือวิชาชีพหรือกรรมวิธีการค้า
(ง) ให้ข้อสนเทศ ซึ่งหากเปิดเผยจะเป็นการขัดกับอธิปไตย ความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย