เมนูปิด

ข้อ 21
นักศึกษา

 

                ในกรณีนักศึกษาหรือผู้รับการฝึกอบรมเป็นผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นในเวลาก่อนหน้าที่จะไปเยือนรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่เป็นการชั่วคราวในอีกรัฐหนึ่งนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์

 

                (ก)          ศึกษา ณ มหาวิทยาลัย หรือ สถานการศึกษาที่ได้การยอมรับ หรือ

 

                (ข)          ศึกษาหรือกระทำการวิจัยโดยได้รับทุน เงินอุดหนุนหรือรางวัลจากรัฐบาล องค์การทางศาสนา

                              การกุศล วิทยาศาสตร์ วรรณคดี หรือการศึกษา ได้รับเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกรัฐผู้ทำสัญญา

                              อีกรัฐหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ในการครองชีพหรือเพื่อการศึกษา เงินได้นั้นจะได้รับยกเว้นภาษี

                              จากรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

 

ข้อ 22
เงินได้อื่นๆ

                รายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติข้อก่อน ๆ ของความตกลงนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้นเว้นแต่ถ้าเงินได้นั้นได้รับจากแหล่งภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เงินได้นั้นอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งด้วย

 

 

ข้อ 23
การขจัดภาษีซ้อน

1.             ภายใต้ข้อบังคับแห่งกฎหมายนิวซีแลนด์ที่มีผลบังคับใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับการยอมให้เครดิตต่อภาษีเงินได้นิวซีแลนด์ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ที่ได้ชำระไว้นอกประเทศนิวซีแลนด์(ซึ่งไม่มีผลกระทบหลักการทั่วไปของบทบัญญัติข้อนี้) ภาษีไทยที่ได้ชำระไว้ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยการหักไว้ในประเทศไทยและสอดคล้องกับความตกลงนี้ ในส่วน ของเงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ได้รับจากแหล่งในประเทศไทย จะสามารถนำมาเป็นเครดิตต่อภาษีนิวซีแลนด์ที่พึงชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น

 

2.             ในกรณีที่บริษัทผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยและไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศนิวซีแลนด์เพื่อความมุ่งประสงค์ทางภาษีของประเทศนิวซีแลนด์ จ่ายเงินปันผลให้กับบริษัทผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งควบคุมโดยทางตรงหรือทางอ้อมจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของผลประโยชน์ที่มีสิทธิออกเสียงของบริษัทที่กล่าวถึงบริษัทแรก การเครดิตภาษีตามที่ได้กล่าวถึงในบทบัญญัติวรรค 1 จะรวมถึงภาษีไทย ที่บริษัทแรกที่กล่าวถึงได้ชำระไว้แล้วในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำไรของบริษัทที่จ่ายเงินปันผลนั้น

 

3.             กรณีที่มีคำร้องขอของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของ ประเทศนิวซีแลนด์ ผู้ว่าการทั่วไปของประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีคำสั่งของสภาที่ได้กำหนดให้การลงทุนที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆในประเทศไทยเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ได้รับการอนุมัติแล้ว ภาษีไทยที่ได้กล่าวถึงในบทบัญญัติวรรค 1 และ 2 ของความตกลงนี้จะสามารถนำมารวมถือเป็น จำนวนภาษีตามกฎหมายไทยและตามความตกลงนี้ จะให้ถือเป็นภาษีที่พึงชำระแล้วในส่วนของภาษีเงินได้แต่เฉพาะในส่วนของภาษีที่ได้รับมาตรการจูงใจภายใต้กฎหมายไทยซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจเท่านั้น

 

4.             บทบัญญัติวรรค 3 จะใช้บังคับเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่ได้รับในระยะเวลา 10 ปีแรกที่ความตกลงมีผลใช้บังคับตามผลของอนุวรรค (ก) (2) ของข้อ 28 และในปีเงินได้ ต่อๆ ไปตามที่ผู้แทนซึ่งมีอำนาจของรัฐบาลของประเทศนิวซีแลนด์และรัฐบาลของประเทศไทยได้ทำการตกลงกันไว้โดยการแลกเปลี่ยนหนังสือเพื่อความมุ่งประสงค์ ดังกล่าวนี้

 

5.             จำนวนภาษีนิวซีแลนด์ที่พึงชำระภายใต้กฎหมายนิวซีแลนด์และตามบทบัญญัติของความตกลงนี้ โดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในส่วนของกำไร เงินได้หรือผลได้ที่เกิดขึ้นในประเทศนิวซีแลนด์ จะสามารถนำมาเป็นเครดิตต่อภาษีไทยในส่วนของกำไร เงินได้ หรือผลได้นั้นแต่จำนวนที่นำมาเครดิตจะต้องไม่เกินภาษีไทย (ที่คำนวณไว้ก่อนการให้เครดิตเช่นว่านั้น) ในส่วนที่สอดคล้องกับกำไร เงินได้ หรือผลได้ที่เกิดขึ้นในนิวซีแลนด์เท่านั้น

 

6.             ในกรณีที่บริษัทผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศนิวซีแลนด์และไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยตามความมุ่งประสงค์ทางภาษีของไทย จ่ายเงินปันผลให้กับบริษัทผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งควบคุมโดยทางตรงหรือทางอ้อมจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนผู้มีสิทธิ ออกเสียงของบริษัทที่กล่าวถึงบริษัทแรก การเครดิตภาษีตามที่ได้กล่าวถึงในวรรค 5 จะรวมถึงภาษีนิวซีแลนด์ที่ได้ชำระโดยบริษัทแรกที่กล่าวถึงในส่วนที่เกี่ยวกับ กำไรที่จ่ายเงินปันผลนั้น

 

7.             ถ้าเมื่อใดก็ตามหลังจากวันที่มีการลงนามในความตกลงนี้มีการแก้ไขกฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับภาษีนิวซีแลนด์หรือภาษีไทย และมีผลกระทบต่อการขจัดภาษีซ้อนที่ได้กำหนดไว้ในข้อนี้ รัฐบาลของประเทศนิวซีแลนด์และรัฐบาลของประเทศไทยจะดำเนินการเจรจาแก้ไขบทบัญญัติข้อนี้โดยไม่ชักช้า

 

 

ข้อ 24
การไม่เลือกประติบัติ

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆหรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้นอันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติของอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน

 

2.             ภาษีอากรที่เก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่เรียกเก็บในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีอากรที่เรียกเก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐที่สามมีอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

3.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งมีทุนที่เป็นเจ้าของหรือถูกควบคุมบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม โดยผู้มีถิ่นที่อยู่คนเดียวหรือหลายคนในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฎิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวิสาหกิจที่คล้ายกันของรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรก ซึ่งมีทุนที่เป็นเจ้าของหรือถูกควบคุมบางส่วนหรือทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมโดยผู้มีถิ่นอยู่คนเดียวหรือหลายคนของรัฐที่สามถูกหรืออาจถูกบังคับ

 

4.             บทบัญญัติของข้อนี้จะไม่แปลความเป็นการผูกพันรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งที่จะต้องยอมให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งค่าลดหย่อนส่วนบุคคล การบรรเทาภาระและการหักลดใดๆเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษีอันเนื่องมาจากความเป็นพลเมือง หรือความรับผิดชอบทางครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

5.             ความข้อนี้จะไม่ใช้บังคับกับบทบัญญัติใด ๆ ในกฎหมายภาษีของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งซึ่ง

 

                (ก)          ได้กำหนดขึ้นโดยชอบด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันหรือกำจัดการหลีกเลี่ยงหรือการโกงทาง ภาษี หรือ

 

                (ข)          มีผลใช้บังคับในวันที่มีการลงนามในความตกลงนี้ หรือที่คล้ายกันเป็นส่วนใหญ่กับความมุ่ง

                              ประสงค์โดยทั่วไปหรือเจตนารมณ์ของบทบัญญัติเช่นว่านั้น ซึ่งได้ถูกบัญญัติขึ้นภายหลังจากที่มี

                              การลงนามในความตกลงนี้ โดยมีเงื่อนไขว่า บทบัญญัติเช่นว่านั้น (นอกเหนือจากที่เป็นความ

                              ตกลงระหว่างประเทศ) ไม่ยินยอมให้มีการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐที่ผู้ทำ

                              สัญญาอีกรัฐหนึ่งเปรียบเทียบกับผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐที่สาม

 

6.             บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะภาษีอากรที่อยู่ภายใต้ความตกลงนี้

 

7.             ถ้ารัฐผู้ทำสัญญารัฐใดพิจารณาแล้วพบว่ามาตรการทางภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ละเมิดหลักการที่ได้กำหนดไว้ในความตกลงนี้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของทั้งสองรัฐจะปรึกษาซึ่งกันและกันเพื่อพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้

 

 

ข้อ 25
วิธีการเพื่อดำเนินการตกลงร่วมกัน

1.             ในกรณีที่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง พิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนเองต้องเสียภาษีอากร โดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของความตกลงนี้ บุคคลผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีถิ่นที่อยู่โดยไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการแก้ไขที่กฎหมายภายในของแต่ละรัฐได้บัญญัติไว้ การยื่นเรื่องราวดังกล่าวจะต้องยื่นภายในเวลา 3 ปี นับจากที่ได้รับแจ้งครั้งแรกเกี่ยวกับการกระทำนั้น ซึ่งมีผลทางภาษีอากรไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของความตกลงนี้

 

2.             ถ้าคำกล่าวอ้างของผู้เสียภาษีนั้นปรากฎแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลพอสมควรและพบว่าไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขอันเหมาะสมได้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจจะต้องพยายามแก้ไขกรณีดังกล่าวโดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนอันไม่เป็นไปตามความตกลงนี้ เมื่อสามารถตกลงได้ แล้วให้ใช้บังคับได้ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายภายในของรัฐผู้ทำสัญญา ได้กำหนดไว้

 

3.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐจะต้องพยายามแก้ไขข้อยุ่งยาก หรือข้อสงสัยใดๆ อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความ หรือการใช้บังคับความตกลงนี้ โดยความตกลงร่วมกัน

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองอาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้บรรลุผลตามบทบัญญัติแห่งความตกลงฉบับนี้

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011