เมนูปิด

 

ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน

เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน

ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และจากทุน


 

ราชอาณาจักรไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน

 

                มีความปรารถนาที่จะทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บ จากเงินได้และจากทุน

 

                ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

 

 

ข้อ 1

 

                ความตกลงนี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ

 

ข้อ 2

 

(1)          ความตกลงนี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้และจากทุนที่ตั้งบังคับในนามของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐหรือของมลรัฐ (ลันเดอร์) ของส่วนราชการ ของเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของแต่ละรัฐ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการซึ่งรัฐทั้งสองนั้นเรียกเก็บ

 

(2)          ภาษีทั้งปวงที่ตั้งบังคับเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น จากทุนทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบของเงินได้ หรือของทุน รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่เก็บจากยอดเงินค่าจ้างหรือเงินเดือนซึ่งวิสาหกิจเป็นผู้จ่าย ตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุนและ "เกอเวอร์เบสเตอร์" (ภาษีการค้า) ที่เรียกเก็บในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันให้ถือว่าเป็นภาษีที่เก็บจากเงินได้และจากทุน

 

(3)          ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งความตกลงนี้ใช้บังคับโดยเฉพาะได้แก่

 

                1.            ในกรณีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน

 

                               (ก)          Einkommensteuer (ภาษีเงินได้)

 

                               (ข)          Korperschaftsteuer (ภาษีบรรษัท)

 

                               (ค)          Vermogensteuer (ภาษีเงินทุน)

 

                               (ง)          Gewerbesteuer (ภาษีการค้า)

 

                               (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีเยอรมัน" )

 

                2.            ในกรณีราชอาณาจักรไทย

 

                               (ก)          ภาษีเงินได้ และ

 

                               (ข)          ภาษีบำรุงท้องที่

 

                               (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")

 

(4)          ความตกลงนี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีใดๆ ที่เหมือนกันหรือในสาระสำคัญคล้ายคลึงกันอีกด้วยซึ่งในเวลาต่อไปจะได้ตั้งบังคับเพิ่มเติมจากหรือแทนที่ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

 

(5)          บทแห่งความตกลงนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้หรือกำไร ให้ใช้บังคับในทำนองเดียวกันแก่ "เกอเวอร์เบสเตอร์" (ภาษีการค้า) ซึ่งคำนวณภาษีนอกเหนือไปจากฐานเงินได้หรือทุน

 

 

ข้อ 3

 

(1)          ในความตกลงนี้ เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

                (ก)          คำว่า "สหพันธ์สาธารณรัฐ" หมายถึง สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน และเมื่อใช้ในความหมายทางภูมิศาสตร์หมายถึงอาณาเขตซึ่งกฎหมายพื้นฐานของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันใช้บังคับ

 

                (ข)          คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทย

 

                (ค)          คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" และ "รัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายถึง สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันหรือประเทศไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                (ง)          คำว่า "ภาษี" หมายถึง ภาษีเยอรมัน หรือภาษีไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                (จ)          คำว่า "บุคคล" กอปรด้วยบุคคลธรรมดาและบริษัท

 

                (ฉ)          คำว่า "บริษัท"หมายถึง นิติบุคคลใด หรือหน่วยใด หรือคณะบุคคลใดซึ่งได้รับการประติบัติอย่างนิติบุคคลเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี

 

                (ช)          คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายความตามลำดับถึงวิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและวิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                (ซ)          คำว่า "คนชาติ" หมายถึง

 

                               1.             ในกรณีที่เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐ คนเยอรมันทั้งปวงตามความหมายในมาตรา 116 (1) แห่งกฎหมายพื้นฐานของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน และนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน และสมาคมทั้งปวงที่ได้รับสถานะของตนเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐ

 

                               2              ในกรณีที่เกี่ยวกับประเทศไทย บุคคลธรรมดาทั้งปวงที่มีสัญชาติไทยภายใต้กฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติ และนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน และสมาคมทั้งปวงที่ได้รับสถานะเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในประเทศไทย

 

                (ฌ)         คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" ในกรณีสหพันธ์สาธารณรัฐ หมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และในกรณีประเทศไทย หมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

(2)          ในการใช้บังคับความตกลงนี้ โดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใดๆ ที่มิได้นิยามไว้เป็นอย่างอื่น ให้มีความหมายซึ่งคำนั้นมีอยู่ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเกี่ยวกับภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของความตกลงนี้เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

 

ข้อ 4

 

(1)          เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งความตกลงนี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึงบุคคลใดๆ ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้นจำต้องเสียภาษีในรัฐนั้นโดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ การจดทะเบียน สภาพนิติบุคคล แหล่งที่ตั้ง (ซิทซ์) สถานจัดการ หรือโดยหลักเกณฑ์อื่นในทำนองเดียวกัน

 

(2)          ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทของวรรค 1 บุคคลธรรมดาคนใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้วินิจฉัยกรณีตามกฎดังต่อไปนี้

 

                (ก)          ให้ถือว่าบุคคลธรรมดาผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใด เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวและทางเศรษฐกิจใกล้ชิดที่สุด (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)

 

                (ข)          ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญาเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญของบุคคลธรรมดาได้ก็ดี หรือถ้าไม่มีที่อยู่ถาวรของบุคคลธรรมดาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐก็ดี ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้ที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีอยู่เป็นปกติ

 

                (ค)          ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติในรัฐทั้งสองรัฐหรือไม่มีอยู่เลยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ

 

                (ง)          ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐหรือมิได้เป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ที่มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐนั้นแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

(3)          ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทของวรรค 1 บุคคลใดที่มิใช่บุคคลธรรมดาเป็นผู้มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐนั้นแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

 

ข้อ 5

 

(1)          เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งความตกลงนี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายถึงสถานที่ธุรกิจประจำซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมดหรือแต่บางส่วน

 

(2)          คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะให้รวมถึง

 

               (ก)          สถานที่จัดการ

 

                (ข)          สาขา

 

                (ค)          สำนักงาน

 

                (ง)          โรงงาน

 

                (จ)          โรงงานช่างฝีมือ

 

                (ฉ)          เหมืองแร่ เหมืองหินหรือสถานที่อื่นที่ใช้ในการขุดทรัพยากรธรรมชาติ

 

(3)          แม้จะมีบทของวรรค 1 และ 2 อยู่ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" ให้รวมถึงอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้าง หรือโครงการประกอบ ถ้าหากดำรงอยู่เกินกว่า

 

                (ก)          6 เดือนในกรณีที่มีการติดตั้งหรือการตั้งอุปกรณ์โรงงานหรือเครื่องจักรรวมถึงก่อสร้างเพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อการติดตั้งเช่นว่านั้น

 

                (ข)          3 เดือนในกรณีอื่นๆ

 

(4)          คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง

 

                (ก)          การใช้เครื่องอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดง หรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ

 

                (ข)          การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบ

 

                (ค)          การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ให้วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ

 

                (ง)          การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อการจัดซื้อของหรือสินค้า หรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น

 

                (จ)          การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา จัดหาให้ซึ่งข้อสนเทศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมทำนองเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการ หรือเป็นส่วนประกอบของวิสาหกิจ

 

(5)          แม้จะมีบทของวรรค 4 อยู่ บุคคลที่กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนอกเหนือไปจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 6 ให้ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของรัฐแรก ถ้า

 

                (ก)          บุคคลนั้นมีและใช้อำนาจในการทำสัญญาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้น อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญานั้นเป็นปกติ เว้นได้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของบุคคลนั้น จำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น หรือ

 

                (ข)          บุคคลนั้นได้เก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญานั้นเป็นปกติ และดำเนินการส่งมอบของหรือสินค้าจากมูลภัณฑ์นั้นเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ

 

                (ค)          บุคคลนั้นจัดหาคำสั่งซื้อทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในรัฐผู้ทำสัญญานั้นอยู่เป็นปกติเพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

(6)          วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยผ่านทางนายหน้าตัวแทนค้าต่างทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันปกติแห่งธุรกิจของตน แต่จะไม่ใช้บังคับถ้าหากว่านายหน้าหรือตัวแทนเช่นว่านั้นได้ประกอบการในอีกรัฐหนึ่งเกี่ยวกับกิจกรรมที่กำหนดไว้ในวรรค 5 ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้น และวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้นหรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

(7)          เพียงแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐหนึ่งควบคุมหรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011