ดอกเบี้ย
1. ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยนั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ดอกเบี้ยเกิดขึ้นและตามกฎหมายของรัฐนั้นแต่ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจะต้องไม่เกิน
(ก) ร้อยละ 10 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้นที่จ่ายให้แก่สถาบันการเงิน (รวมทั้งบริษัทประกันภัย)
(ข) ร้อยละ 25 ของจำนวนดอกเบี้ยอื่นๆ ทั้งสิ้น
3. ไม่ว่าบทบัญญัติของวรรค 2 จะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย ที่ได้รับจากแหล่งต่างๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งวรรคนี้ คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง"
(ก) ในกรณีประเทศเบลเยี่ยม หมายถึง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยมและรวมถึง
(1) ส่วนราชการใดๆ หรือเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นของประเทศเบลเยี่ยม
(2) ธนาคารชาติแห่งประเทศเบลเยี่ยม และ
(3) สถาบันต่างๆ ซึ่งมีทุนทั้งสิ้นเป็นของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยมหรือส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นของประเทศเบลเยี่ยมซึ่งอาจตกลงเป็นคราวๆ ไประหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง
(ข) ในกรณีประเทศไทย หมายถึง รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และจะรวมถึง
(1) เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย
(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย และ
(3) สถาบันต่างๆ ซึ่งมีทุนทั้งสิ้นเป็นของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย หรือเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย ซึ่งอาจตกลงเป็นคราวๆ ไประหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง
4. คำว่า "ดอกเบี้ย" ดังที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง เงินได้จากสิทธิเรียกร้องหนี้ทุกชนิดไม่ว่าจะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรของลูกหนี้หรือไม่ และโดยเฉพาะเงินได้จากหลักทรัพย์รัฐบาลและเงินได้จากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ รวมถึงค่าพรีเมี่ยม และรางวัลอันติดอยู่กับพันธบัตรหรือหุ้นกู้ อย่างไรก็ตามเพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้คำว่า "ดอกเบี้ย" จะไม่รวมถึงค่าปรับจากการจ่ายช้าหรือดอกเบี้ยที่ถือว่าเป็นเงินปันผลตามวรรค 3 ของข้อ 10
5. บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าผู้รับดอกเบี้ยซึ่งเป็นผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้น ผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้น หรือให้บริการวิชาชีพในรัฐนั้นจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นและสิทธิเรียกร้องหนี้ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยนั้นเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับ สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำเหล่านั้น ในกรณีเช่นนี้ บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 จะใช้บังคับแล้วแต่กรณี
6. ดอกเบี้ยจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายเป็นรัฐนั้นเอง ส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นของรัฐนั้น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่บุคคลที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตามมีอยู่ซึ่งสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันก่อให้เกิดหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยขึ้น และดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้น ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่
7. ในกรณีใดที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่จ่ายเมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้องหนี้อันเป็นมูลแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะกับเงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของดอกเบี้ยให้คงเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ดอกเบี้ยเกิดขึ้นตามกฎหมายของรัฐนั้น
ค่าสิทธิ
1. ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และจ่ายแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. อย่างไรก็ตาม ค่าสิทธิเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นและตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าผู้รับเป็นเจ้าของผลประโยชน์ของค่าสิทธิ ภาษีที่เรียกเก็บนั้นต้องไม่เกิน
(ก) ร้อยละ 5 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น ถ้าค่าสิทธินั้นจ่ายเป็นค่าตอบแทนเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ใดๆ ในงานวรรณกรรม ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์
(ข) ร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น ถ้าค่าสิทธินั้นจ่ายเป็นค่าตอบแทนเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แบบ หรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตร หรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อข้อสนเทศเกี่ยวกับประสบการณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือ ทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ฟิล์มภาพยนตร์และเทปบันทึกภาพสำหรับโทรทัศน์หรือการกระจายเสียง
3. บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าผู้รับสิทธิซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ค่าสิทธินั้นเกิดขึ้น ผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้น หรือให้บริการวิชาชีพในรัฐนั้นจากฐานประกอบการถาวรประจำที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้น และสิทธิหรือทรัพย์สินที่ก่อให้ค่าสิทธิเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำเหล่านั้น ในกรณีเช่นนี้ บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 จะใช้บังคับแล้วแต่กรณี
4. ค่าสิทธิจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายเป็นรัฐผู้ทำสัญญานั้นเอง ส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น อย่างไรก็ดี ในกรณีที่บุคคลผู้จ่ายค่าสิทธินั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีอยู่ซึ่งสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันก่อให้เกิดภาระที่จะต้องจ่ายค่าสิทธินั้น และค่าสิทธิตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้น ค่าสิทธินั้นจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่
5. ในกรณีใดที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หรือระหว่างบุคคลอื่น ค่าสิทธิที่จ่ายเมื่อคำนึงถึงการใช้สิทธิหรือข้อสนเทศอันเป็นมูลแห่งการจ่ายแล้วมีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะกับเงินจำนวนหลังในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของค่าสิทธิอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นตามกฎหมายของรัฐนั้น
6. ในทำนองเดียวกัน บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับกับผลได้จากการจำหน่ายสิทธิหรือทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดค่าสิทธิขึ้น ดังได้กล่าวไว้ในวรรค 2
ผลได้จากทุน
1. ผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ตามที่นิยามไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งทรัพย์นั้นตั้งอยู่
2. ผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบการถาวร ซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งหรือของสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับฐานประกอบการประจำ ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการประกอบบริการวิชาชีพรวมทั้งผลได้จากการจำหน่ายสถานประกอบการถาวร(โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด) หรือฐานประกอบการประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่ง อย่างไรก็ดีผลได้จากการจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ของชนิดที่ระบุไว้ในวรรค 3 ของข้อ 22 จะเก็บได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาที่สังหาริมทรัพย์ดังกล่าวถูกเก็บภาษีตามข้อนั้น
3. ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ 12 ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินใดๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในวรรค 1 และ 2 จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งผู้จำหน่ายเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่
บริการส่วนบุคคล
1. ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของข้อ 15, 17, 18, 19 และ 20 เงินเดือนค่าจ้างและค่าตอบแทนหรือเงินได้อย่างอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับส่วนที่เกี่ยวกับการบริการส่วนบุคคล (รวมทั้งบริการวิชาชีพ) จะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น เว้นไว้แต่ว่าได้ให้บริการนั้นในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าได้ให้บริการเช่นว่านั้นแล้วค่าตอบแทนหรือรายได้ที่ได้รับจากการนั้นอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. ไม่ว่าบทบัญญัติของวรรค 1 จะกล่าวว่าอย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนหรือเงินได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการที่ให้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐแรก ถ้า
(ก) ผู้รับอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ ซึ่งรวมกันแล้วไม่เกิน 183 วัน ในปีรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง และ
(ข) บริการนั้นได้ให้เพื่อ หรือในนามของบุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐแรกนั้น และ
(ค) ค่าตอบแทนหรือเงินได้นั้นมิได้หักจากกำไรอันต้องเสียภาษีในอีกรัฐหนึ่งนั้น
3. ไม่ว่าบทบัญญัติก่อนๆ ของข้อนี้จะกล่าวไว้อย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานในเรือหรืออากาศยานในการจราจรระหว่างประเทศจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานจัดการใหญ่ของวิสาหกิจตั้งอยู่
ค่าป่วยการของกรรมการ
1. ค่าป่วยการของกรรมการและจำนวนเงินที่ชำระอันคล้ายคลึงกันซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในฐานะที่เป็นสมาชิกในคณะกรรมการของบริษัทหรือองค์กรที่คล้ายคลึงกันของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. ค่าตอบแทนที่บุคคลที่วรรค 1 ใช้บังคับได้รับจากบริษัทในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานประจำวันที่มีลักษณะในทางจัดการหรือในทางวิชาการ อาจเก็บภาษีได้ตามบทบัญญัติของข้อ 14 |