เมนูปิด

ข้อ 21
เงินได้ซึ่งมิได้ระบุโดยชัดแจ้ง

 

                บรรดารายการเงินได้ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งมิได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อก่อนๆ แห่งความตกลงนี้อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่เงินได้นั้นเกิดขึ้น 

 

บทที่ 4
วิธีการขจัดการเก็บภาษีซ้อน

ข้อ 22
ข้อจำกัดแห่งการลดหย่อน

                ในกรณีที่ความตกลงนี้บัญญัติ (โดยมีเงื่อนไขหรือไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ) ว่าเงินได้จากแหล่งต่างๆ ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะได้รับยกเว้นภาษี หรือได้รับการลดภาษีในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น และตามกฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นเงินได้จำนวนดังกล่าวจะต้องเสียภาษีตามเกณฑ์ของจำนวนเงินได้ซึ่งได้ส่งไปหรือได้รับไว้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และมิใช่ตามเกณฑ์เงินได้เต็มจำนวน การยกเว้นหรือการลดภาษีซึ่งยอมให้ทำได้ตามความตกลงนี้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก ให้ใช้แก่จำนวนเงินได้เท่าที่ได้ส่งไปหรือได้รับไว้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

ข้อ 23
การขจัดภาษีซ้อน

1.             กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดจะยังคงใช้บังคับต่อไปในการเก็บภาษีอากรจากเงินได้ในรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ เว้นแต่ในกรณีที่มีบทบัญญัติไว้ชัดแจ้งให้เป็นอย่างอื่นในความตกลงนี้ ในกรณีที่เงินได้ต้องเสียภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐให้ได้รับการบรรเทาภาระจากการเก็บภาษีซ้อนตามวรรคต่างๆ ของข้อนี้

 

2.             ในกรณีของมาเลเซีย ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายของมาเลเซียเกี่ยวกับการยอมให้ใช้เป็นเครดิตต่อภาษีมาเลเซียสำหรับภาษีที่ต้องชำระในประเทศอื่นใดนอกจากประเทศมาเลเซีย ภาษีไทยที่จะต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ยอมให้ถือเป็นเครดิตหักจากภาษีมาเลเซียที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น ในกรณีที่เงินได้นั้นเป็นเงินปันผลที่จ่ายโดยบริษัทที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยให้กับบริษัทที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศมาเลเซียและเป็นเจ้าของหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของบริษัทที่จ่ายเงินปันผล เครดิตนั้นจะต้องพิจารณาถึงภาษีไทยที่ต้องชำระโดยบริษัทนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ของบริษัทซึ่งได้จ่ายเงินปันผลจากเงินได้นั้น อย่างไรก็ตามเครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีมาเลเซียที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะให้เครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้รายการนั้น

 

3.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งวรรค 2 คำว่า "ภาษีไทยที่ต้องชำระ" ให้ถือว่ารวมถึงจำนวนภาษีไทยซึ่งควรจะได้ชำระแล้วถ้าภาษีไทยเช่นว่านั้นไม่ได้รับการยกเว้นหรือลดตาม

 

                (ก)          กฎหมายจูงใจพิเศษซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจในประเทศไทย

                              ตราบที่ยังใช้อยู่ในวันที่ลงนามในความตกลงนี้ หรือ

 

                (ข)          บทบัญญัติอื่นๆ ซึ่งอาจจะประกาศใช้ภายหลังในประเทศไทยเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม

                              กฎหมายจูงใจพิเศษฉบับนั้นตราบเท่าที่ได้มีการตกลงโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในรัฐผู้ทำสัญญา

                              ทั้งสองว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญ

 

4.             ในกรณีประเทศไทยภาษีมาเลเซียที่จะต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ที่เกิดขึ้นในมาเลเซียจะยอมให้ใช้เครดิตต่อภาษีไทยที่ต้องชำระในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นั้น อย่างไรก็ตาม เครดิตนั้นจะต้องไม่เกินจำนวนภาษีไทยส่วนที่ได้คำนวณไว้ก่อนที่จะให้เครดิตตามจำนวนที่เหมาะสมกับเงินได้รายการนั้น ในกรณีเงินได้นั้นเป็นเงินปันผลที่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในมาเลเซียจ่ายให้แก่บริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และซึ่งถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของบริษัทที่จ่ายเงินปันผล เครดิตนั้นจะต้องพิจารณาถึงภาษีมาเลเซียที่ต้องชำระโดยบริษัทนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้ของบริษัทได้จ่ายเงินปันผลจากเงินได้นั้น

 

5.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งวรรค 4 คำว่า "ภาษีมาเลเซียที่ต้องชำระ" ให้ถือว่ารวมถึงจำนวนภาษีมาเลเซียซึ่งตามกฎหมายของมาเลเซียและตามความตกลงนี้ควรจะได้ชำระแล้วจาก

 

                (ก)          เงินได้ใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากแหล่งต่างๆ ในมาเลเซียถ้าเงินได้นั้นมิได้รับการยกเว้นภาษีมาเลเซีย

                              ตาม

 

                                (1)          มาตราที่ 21, 22 และ 26 ของพระราชบัญญัติจูงใจการลงทุน ค.ศ. 1968 ของประเทศ

                                              มาเลเซียตราบที่ยังใช้อยู่ในวันที่ลงนามในความตกลงนี้ หรือ

 

                                (2)          บทบัญญัติอื่นๆ ซึ่งอาจจะประกาศใช้ภายหลังในประเทศมาเลเซีย เพื่อเปลี่ยนแปลง

                                              หรือเพิ่มเติมกฎหมายจูงใจการลงทุนตราบเท่าที่ได้มีการตกลงโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ

                                              ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญ และ

 

                (ข)          ค่าสิทธิทางอุตสาหกรรมที่เห็นชอบแล้วซึ่งวรรค 3 ของข้อ 12 ใช้บังคับถ้าค่าสิทธิเหล่านั้นมิได้

                              รับการยกเว้นจากภาษีมาเลเซียตามวรรคนั้น

 

บทที่ 5
บทบัญญัติพิเศษ

ข้อ 24
การไม่เลือกประติบัติ

1.             คนชาติของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจาก หรือเป็นภาระหนักกว่าการเก็บภาษีอากร และข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือให้ปฏิบัติตามในสถานการณ์เดียวกัน

 

2.             ภาษีอากรที่เก็บจากสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง จะต้องไม่เรียกเก็บในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นโดยเป็นการอนุเคราะห์น้อยกว่าภาษีที่เรียกเก็บจากวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นที่ประกอบกิจกรรมอย่างเดียวกัน

 

3.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งคนเดียวหรือหลายคนเป็นเจ้าของหรือควบคุมทุนทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม จะต้องไม่ถูกบังคับในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกให้เสียภาษีอากรใดๆ หรือปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆเกี่ยวกับการนั้น อันเป็นการนอกเหนือไปจากหรือเป็นภาระหนักกว่าภาษีอากรและข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งวิสาหกิจอื่นที่คล้ายคลึงกันของรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกนั้นถูกหรืออาจถูกบังคับให้เสียหรือปฏิบัติตาม

 

4.             ไม่มีความใดในข้อนี้ที่จะแปลความเป็นการผูกพัน

 

                (ก)          รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้ให้แก่บุคคลธรรมดาผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งค่าลด

                              หย่อนส่วนบุคคลใดๆ การบรรเทาภาระและการหักลดเพื่อความมุ่งประสงค์ทางภาษีเนื่องมาจาก

                              ความเป็นพลเมืองหรือความรับผิดชอบต่อครอบครัวซึ่งรัฐนั้นให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐของตน

 

                (ข)          ประเทศมาเลเซียให้ให้กับคนชาติของประเทศไทยที่มิได้อยู่ในมาเลเซียซึ่งค่าลดหย่อนส่วน

                              บุคคล การบรรเทาภาระและการหักลดเพื่อความมุ่งประสงค์ทางภาษีซึ่งตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในวัน

                              ลงนามความตกลงนี้มีให้เฉพาะแก่คนชาติของมาเลเซียที่มิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในมาเลเซียเท่านั้น

 

5.             ในบทแห่งข้อนี้คำว่า "ภาษีอากร" หมายถึงภาษีอากรซึ่งเป็นเรื่องของความตกลงนี้ 

 

ข้อ 25
วิธีการเพื่อดำเนินการตกลงร่วมกัน

1.             ในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งพิจารณาเห็นว่าการกระทำของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดหรือทั้งสองรัฐมีผลหรือจะมีผลให้ตนต้องเสียภาษีอากรโดยไม่เป็นไปตามความตกลงนี้ ผู้นั้นอาจยื่นเรื่องราวของตนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีถิ่นที่อยู่ได้ แม้จะมีทางแก้ไขดังที่กฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาเหล่านั้นบัญญัติแล้วก็ตาม

 

2.             ถ้าข้อคัดค้านนั้นปรากฏแก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจว่ามีเหตุผลสมควรและถ้าตนไม่สามารถที่จะหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้เอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจพยายามแก้ไขกรณีนั้น โดยความตกลงร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนอันไม่เป็นไปตามความตกลงนี้

 

3.             ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐพยายามแก้ไขซึ่งข้อยุ่งยากหรือข้อสงสัยใดๆ อันเกิดขึ้นเกี่ยวกับการตีความหรือการใช้ความตกลงร่วมกัน เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยังอาจหารือกันเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้อนในบรรดากรณีที่มิได้บัญญัติตามข้อตกลงนี้

 

4.             เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองอาจติดต่อกันโดยตรงเพื่อให้มีความตกลงตามความแห่งวรรคก่อนๆ นั้น

 

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011