ข้อ 11 ดอกเบี้ย 1. ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น 2. อย่างไรก็ตาม (ก) ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอาจเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของประเทศไทย แต่ถ้าผู้รับเป็นผู้ มีถิ่นที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจะต้องไม่เกินกว่า (1) ร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยทั้งสิ้น ถ้าดอกเบี้ยนั้นได้รับโดยสถาบันการเงินใดๆ (รวมทั้ง บริษัทประกันภัย) (2) สำหรับกรณีอื่นทุกกรณี ร้อยละ 25 ของจำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น (ข) ดอกเบี้ยซึ่งเกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียอาจเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย แต่ถ้า หากผู้รับเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจะต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 15 ของ จำนวนดอกเบี้ยทั้งสิ้น 3. โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของวรรค 2 ดอกเบี้ยซึ่งเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้แก่รัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีจากรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก 4. เพื่อประโยชน์แห่งวรรค 3 คำว่า "รัฐบาล" ก. ในกรณีของประเทศมาเลเซีย หมายถึงรัฐบาลของประเทศมาเลเซียหรือรัฐบาลแห่งรัฐท้องถิ่น ใดๆ และให้รวมถึง (1) ธนาคารเนการาของประเทศมาเลเซีย (2) องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และ (3) สถาบันต่างๆ ซึ่งทุนทั้งหมดเป็นของรัฐบาลมาเลเซียหรือของรัฐบาลแห่งรัฐท้อง ถิ่นใดๆ หรือขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นใดๆ ตามที่อาจตกลงกันเป็นคราวๆ ไป ระหว่างรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง ข. ในกรณีของประเทศไทย หมายถึงรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและให้รวมถึง (1) ธนาคารแห่งประเทศไทย (2) องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นและ (3) สถาบันต่างๆ ซึ่งทุนทั้งหมดเป็นของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยหรือของ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นใดๆ ตามที่อาจตกลงกันเป็นคราวๆ ไประหว่างรัฐบาล ของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ 5. บทบัญญัติในวรรค 1 และ 2 มิให้ใช้บังคับถ้าผู้รับดอกเบี้ยเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นซึ่งสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิเรียกร้องหนี้ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยนั้น ในกรณีเช่นว่านี้ให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 บังคับ 6. ดอกเบี้ยจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ถ้าผู้จ่ายเป็นรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเอง ส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีอยู่ซึ่งสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันก่อให้เกิดหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยขึ้น และดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้น ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่ 7. ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์เป็นพิเศษระหว่างผู้จ่ายและผู้รับหรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น จำนวนเงินของดอกเบี้ยที่จ่ายให้กันนั้น เมื่อคำนึงถึงสิทธิเรียกร้องหนี้อันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้วมีจำนวนเงินเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับหากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะแก่เงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย 8. คำว่า "ดอกเบี้ย" ที่ใช้อยู่ในข้อนี้หมายถึง เงินได้อันเกิดจากสิทธิเรียกร้องหนี้ทุกชนิด ไม่ว่าจะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรของลูกหนี้หรือไม่ และโดยเฉพาะเงินได้จากหลักทรัพย์ของรัฐบาล และเงินได้จากหุ้นหรือหุ้นกู้รวมทั้งค่าพรีเมี่ยม และรางวัลซึ่งเกี่ยวพันกับหลักทรัพย์เช่นว่านั้น หุ้น หรือหุ้นกู้รวมทั้งเงินได้อื่นๆ ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกันกับเงินได้จากการให้กู้ยืมเงินตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งเงินได้นั้นเกิดขึ้น ข้อ 12 ค่าสิทธิ 1. ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งและจ่ายให้ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น 2. อย่างไรก็ตาม ค่าสิทธิเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้น และตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญานั้น แต่ถ้าผู้รับเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งสิ้น 3. โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของวรรค 2 ค่าสิทธิทางอุตสาหกรรมที่เห็นชอบแล้วอันเกิดจากแหล่งในประเทศมาเลเซีย และได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยจะได้รับยกเว้นภาษีในประเทศมาเลเซีย 4. คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้หมายถึงการจ่ายไม่ว่าชนิดใดที่ได้รับเป็นค่าตอบแทนเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้ซึ่งลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แบบหรือหุ่นจำลอง ผังสูตรลับหรือกรรมวิธีลับใดๆ หรือเพื่อการใช้หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ทางพาณิชย์กรรมหรือทางอุตสาหกรรม หรือเพื่อข้อสนเทศเกี่ยวกับประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ทางพาณิชยกรรมหรือทางอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม คำนี้มิให้รวมถึงค่าสิทธิใดๆ หรือจำนวนใดๆ ที่จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับฟิล์มภาพยนตร์หรือเทปสำหรับใช้การแพร่ภาพทางโทรทัศน์หรือทางวิทยุ หรือในส่วนที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ บ่อน้ำมันเหมืองหินหรือสถานที่อื่นที่มีการขุดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือป่าไม้หรือผลิตภัณฑ์อื่นจากป่า 5. คำว่า "ค่าสิทธิทางอุตสาหกรรมที่เห็นชอบแล้ว" หมายถึง ค่าสิทธิซึ่งได้จำกัดความไว้ในวรรค 4 ซึ่งได้รับความเห็นชอบและรับรองโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของมาเลเซียว่าอาจชำระได้เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งการส่งเสริมการพัฒนาการทางอุตสาหกรรมในมาเลเซีย และซึ่งอาจชำระได้โดยวิสาหกิจซึ่งเกี่ยวข้องทั้งหมดหรือโดยส่วนสำคัญกับกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดดังกรณีต่อไปนี้ ก. การหัตถกรรม การประกอบ หรือการแปรรูป ข. การก่อสร้าง การวิศวกรรมโยธา หรือการต่อเรือ หรือ ค. การไฟฟ้า พลังงานจากน้ำ แก๊ส หรือการส่งน้ำ 6. เงินได้อันได้จากการจำหน่ายสิทธิหรือทรัพย์สินที่กล่าวถึงในวรรค 4 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่เงินได้นั้นเกิดขึ้น แต่ภาษีที่รัฐนั้นตั้งบังคับเก็บจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนเงินได้ดังกล่าวทั้งสิ้น 7. บทบัญญัติในวรรค 1, 2, 3 และ 4 มิให้ใช้บังคับในกรณีที่ผู้รับค่าสิทธิหรือเงินได้ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง มีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ค่าสิทธิหรือเงินได้นั้นเกิดขึ้น ซึ่งสถานประกอบการถาวรอันเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสิทธิหรือทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดค่าสิทธิหรือเงินได้นั้น ในกรณีเช่นนี้ ให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 บังคับ 8. ค่าสิทธิหรือเงินได้ซึ่งกล่าวไว้ในวรรค 6 ให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ถ้าผู้จ่ายเป็นรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเอง ส่วนราชการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลผู้จ่ายค่าสิทธิหรือเงินได้นั้นไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งรัฐใดหรือไม่ก็ตามมีอยู่ซึ่งสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอันเกี่ยวข้องกับพันธกรณีในการจ่ายค่าสิทธิหรือเงินได้ที่เกิดขึ้น และค่าสิทธิหรือเงินได้นั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรนั้นให้ถือว่าค่าสิทธิหรือเงินได้นั้นเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรนั้นตั้งอยู่ 9. ในกรณีที่โดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและผู้รับหรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่นค่าสิทธิหรือเงินได้ที่จ่าย เมื่อคำนึงถึงการใช้สิทธิหรือข้อสนเทศอันเป็นมูลแห่งการจ่ายแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนเงินซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับผู้รับ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะกับเงินจำนวนหลัง ในกรณีนั้นส่วนเกินของเงินที่ชำระนั้นให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐทั้งนี้โดยคำนึงถึงบทอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย ข้อ 13 ผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ 1. ผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ตามที่นิยามไว้ในวรรค 2 ของข้อ 6 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งทรัพย์นั้นตั้งอยู่ 2. ผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันประกอบขึ้นเป็นส่วนของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบการถาวรซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับฐานประกอบการประจำซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการประกอบบริการวิชาชีพ รวมทั้งผลได้จากการจำหน่าย สถานประกอบการถาวร (โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด) หรือฐานประกอบการประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น อย่างไรก็ตามผลได้จากจำหน่ายเรือหรืออากาศยานที่ได้ทำการโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในการจราจรระหว่างประเทศและสังหาริมทรัพย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำการของเรือหรืออากาศยานเช่นว่านั้นจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาที่วิสาหกิจนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ 3. ผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ใดๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในวรรค 1 และ 2 ของข้อนี้ และวรรค 4 และ 6 ของข้อ 12 ให้เก็บภาษีได้เฉพาะแต่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งผู้จำหน่ายเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ มิให้ข้อความใดในวรรคนี้กีดกันรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งในการเก็บภาษีจากผลได้หรือเงินได้จากการขายหรือโอนหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นๆ ข้อ 14 บริการส่วนบุคคล 1. ภายใต้บังคับของบทบัญญัติของข้อ 15, 17, 18, 19 และ 20 เงินค่าตอบแทน (นอกจากเงินบำนาญ) ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับเนื่องจากบริการส่วนบุคคล (รวมทั้งวิชาชีพ) ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น เว้นไว้แต่ว่าบริการนั้นได้กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าบริการได้กระทำในลักษณะเช่นว่านั้นแล้วค่าตอบแทนที่ได้รับจากการนั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น 2. แม้จะมีบทของวรรค 1 อยู่ค่าตอบแทน (นอกจากเงินบำนาญ) ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับเนื่องจากบริการส่วนบุคคล (รวมทั้งวิชาชีพ) ที่ได้กระทำในปีปฏิทินใดๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกถ้า ก. ผู้รับอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลาซึ่งรวมกันแล้วไม่เกิน กว่า 183 วัน ในปีปฏิทินที่เกี่ยวข้อง และ ข. การให้บริการนั้นได้ทำขึ้นเพื่อหรือในนามของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก และ ค. ค่าตอบแทนนั้นมิได้ตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรซึ่งบุคคลผู้จ่ายค่าตอบแทนมีอยู่ในรัฐ ผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง 3. แม้จะมีบทก่อนๆ ของข้อนี้อยู่ ค่าตอบแทนอันเนื่องจากการทำงานในเรือหรืออากาศยาน ในการจราจรระหว่างประเทศโดยวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น ข้อ 15 ค่าป่วยการของกรรมการ ค่าป่วยการของกรรมการและจำนวนเงินที่ชำระอันคล้ายคลึงกัน ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในฐานะที่เป็นสมาชิกในคณะกรรมการของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น |