เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่6331/2544 
กรมสรรพากรโจทก์

บริษัท เจริญอักษรไฟน์เปเปอร์ จำกัด โดยนายวิชิต ศรีปลั่ง

จำเลย
บัญชี กับพวก
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 87/1, 89

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในหนี้ค่าภาษีจำนวน 72,917,536.06 บาท แก่โจทก์ พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนในค่าภาษีจำนวน 381,952.29 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่เกิน 9,548.81 บาท
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน 72,828,413.86 บาท พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 381,925.29 นับแต่วันถัดจากวนฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มที่คำนวณใหม่ต้องไม่เกิน 9,548.81 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (10) เพียงอนุมาตราเดียวเป็นการชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในเดือนตุลาคม 2536 จำเลยที่ 1 ได้ขายสินค้ากระดาษในราคาต่ำกว่าราคาต้นทุน สินค้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นเหตุให้ยอดขายสินค้าที่จำเลยที่ 1 แสดงไว้ต่ำไปเป็นเงิน 1,273,174,29 บาท คิดเป็นภาษีขายจำนวน 89,122.20 บาท เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ จึงประเมินให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมเป็นเงิน 89,122.20 บาท เบี้ยปรับตามมาตรา 89 (4) และ (10) จำนวน 267,366.60 บาท และเงินเพิ่ม 89,122.20 บาท รวม 445,611 บาท ตามรายละเอียดการคำนวณเอกสารหาย จ.1 แผ่นที่ 43 เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้อง อันเป็นเหตุให้จำนวนภาษีขายในเดือนภาษีตุลาคม 2536 คลาดเคลื่อนไป จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีขายที่แสดงไว้ขาดไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (4) และการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมิใช่เป็นการมิได้ทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนดหรือรายงานอื่นตามที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา 87/1 หรือมีสินค้าขาดจากรายงานที่สินค้าและวัตถุดิบ อันจะทำให้ต้องรับผิดเสีย เบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษีซึ่งคำนวณจากฐานภาษีที่มิได้ทำรายงานหรือมิได้ลงรายการในรายการให้ถูกต้องตามมาตรา 89 (10) ดังที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้ทำการประเมิน ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับเพียงหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีขายที่แสดงไว้ขาดไปตามมาตรา 89 (4) เท่านั้น ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และมาตรา 246 การประเมินของ เจ้าพนักงานประเมินในส่วนนี้จึงไม่ชอบที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (10) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน 72,739,291.66 บาท พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 381,925.29 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มที่คำนวณใหม่ต้องไม่เกิน 9,548.81 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021