เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่426/2544 
นายสำราญ ขำกรัดโจทก์

นายสมชาติ จันทร์แจ่ม

จำเลย
เรื่อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร (มาตรา 103,113,114,118)

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 226,875 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 150,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้จำเลยในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนางครีบ จันทร์แจ่ม ผู้ตายชำระเงิน 150,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1มกราคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ แต่ทั้งนี้จำเลยไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่ตน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า สัญญากู้ยืมเงินซึ่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในวันทำสัญญาแต่พึ่งปิดอากรแสตมป์ในวันสืบพยานโจทก์นัดแรกโดยมิได้เสียค่าอากรเพิ่ม และเพียงแต่ขีดฆ่าอากรแสตมป์โดยไม่ได้ลงวันเดือนปีกำกับจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เพียงแต่บัญญัติว่าตราสารใดที่ไม่ปิดอากรแสตมป์หรือปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายหมวด 6 จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนบริบูรณ์และขีดฆ่าแล้ว แต่หาได้บังคับให้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาดังที่จำเลยฎีกาไม่ เพราะความในตอนท้ายของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า การดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่อง โดยปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในภายหลัง อันมีผลให้ตราสารนั้นใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งนั้นไม่เป็นการลบล้างความผิดในการเสียเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113และมาตรา 114 แสดงว่าแม้มิได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน แต่เมื่อมีการปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วในวันนัดสืบพยานโจทก์ก็ย่อมรับฟังสัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ส่วนเรื่องที่โจทก์จะต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114 แห่งประมวลรัษฎากรเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ซึ่งไม่มีผลกระทบถึงการปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์แต่ประการใด ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์เพียงแต่ขีดเส้นคร่อมฆ่าอากรแสตมป์โดยมิได้ลงวันเดือนปีกำกับไว้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการขีดฆ่าอากรแสตมป์ที่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา103 นั้น เห็นว่า มาตรา 103 แห่งประมวลรัษฎากรให้ความหมายของคำว่า "ขีดฆ่า" ว่า หมายถึงการกระทำใดๆ เพื่อมิให้มีการนำอากรแสตมป์ไปใช้ได้อีก ดังนั้น การขีดฆ่าอากรแสตมป์จึงมิได้จำกัดแต่เฉพาะการลงลายมือชื่อบนอากรแสตมป์หรือการขีดเส้นคร่อมฆ่าอากรแสตมป์และลงวันเดือนปีกำกับเท่านั้น แต่ย่อมหมายความรวมถึงการกระทำด้วยวิธีการอื่นใดที่ทำให้อากรแสตมป์นั้นเสียไปไม่สามารถนำไปใช้ใหม่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้มีการปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ โดยขีดเส้นคร่อมบนอากรแสตมป์เพื่อมิได้ให้นำไปใช้ได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าสัญญากู้ยืมเงิน ได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ถูกต้องตามมาตรา 103รับฟังพยานหลักฐานในคดีนี้ได้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีพิรุธไม่น่าเชื่อว่านางครีบกู้ยืมเงินจากโจทก์นั้น เห็นว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งนั้นศาลย่อมมีหน้าที่ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความและพิพากษาให้ฝ่ายที่พยานหลักฐานมีน้ำหนักดีกว่าเป็นผู้ชนะคดี สำหรับคดีนี้โจทก์มีตัวโจทก์กับนางสมจิตร บุญธรรม และนางศิริวรรณ ขำกรัด เป็นพยานเบิกความประกอบสัญญากู้ยืมเงินว่า นางครีบได้กู้ยืมเงินโจทก์และทำสัญญากู้ยืมเงินไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้โจทก์ยังมีสำเนาหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้พร้อมใบตอบรับ เป็นหลักฐานว่า โจทก์เคยทวงถามให้นางครีบชำระหนี้แก่โจทก์โดยส่งหนังสือทวงถามไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ แต่ไม่ปรากฏว่านางครีบเคยโต้แย้งคัดค้านเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวเลย อนึ่ง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า นางครีบไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์นั้น ทั้งจำเลยกับนางซิ้ม จันทร์แจ่ม และนายเสน่ห์ เนียมหอม พยานจำเลยต่างเบิกความรับว่าไม่ทราบว่านางครีบจะเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์หรือไม่ พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ถอนเงินฝากธนาคารมาให้นางครีบกู้ และไม่เชื่อว่าโจทก์จะเก็บเงินไว้ที่บ้านเป็นจำนวนมากนั้น โจทก์เบิกความข้อนี้ว่านางครีบไปติดต่อกับโจทก์ล่วงหน้าหลายวันว่าจะขอกู้ยืมเงิน โจทก์จึงมีเวลาพอในการรวบรวมเงินที่ลูกหนี้รายอื่นนำมาชำระหนี้จนพอให้นางครีบกู้ยืมได้ซึ่งไม่เป็นข้อพิรุธแต่ประการใด ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เบิกความว่า โจทก์เป็นผู้เขียนสัญญากู้ยืมเงิน แต่ในช่องผู้เขียนสัญญาในสัญญากู้ยืมเงินกลับมีลายมือชื่อของผู้อื่นไม่ตรงกับคำเบิกความของโจทก์นั้นเห็นว่า แม้ลายมือชื่อผู้เขียนสัญญากู้ยืมเงิน จะขัดแย้งกับคำเบิกความของโจทก์เป็นพิรุธอยู่บ้าง แต่ข้อพิรุธดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะทำลายล้างน้ำหนักคำพยานโจทก์ให้เสียไปจนไม่อาจรับฟังได้ทั้งหมดส่วนจำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า นางครีบไม่มีความจำเป็นในการใช้เงินซึ่งไม่เชื่อว่านางครีบกู้ยืมเงินจากโจทก์ และว่าการที่โจทก์แจ้งให้นางศิริวรรณซึ่งมีบ้านอยู่คนละอำเภอกับโจทก์ไปเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินเป็นข้อส่อพิรุธนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเหตุผลต่างๆ ที่จำเลยขึ้นอ้างในฎีกาเป็นเรื่องที่จำเลยคาดคิดไปเองไม่ใช่ข้อพิรุธถึงกับทำให้คำพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ดังที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าฝ่ายจำเลยและเชื่อว่านางครีบมารดาจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย เมื่อนางครีบถึงแก่กรรมลง จำเลยซึ่งเป็นทายาทของนางครีบต้องชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน"
พิพากษายืน
(กำพล ภู่สุดแสวง - วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ - สุรชาติ บุญศิริพันธ์)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021