เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่1372/2540 
นายปรารถ โมกขะเวสโจทก์

บริษัทภูเก็ตไอแลนด์ จำกัด (มหาชน)

จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 3, 40, 50 แพ่ง จ้างแรงงาน (มาตรา 575)

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อน 6 เดือน ตามข้อตกลงในสัญญาบริการ และเป็น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมโดยให้โจทก์ลาออกและจำเลยยอมจ่าย เงินให้โจทก์ 750,000 บาท แบ่งชำระเป็นสองงวด งวดแรกครึ่งหนึ่งชำระใน วันที่ 31 ตุลาคม 2539 งวดที่สองอีกครึ่งหนึ่งชำระในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 ต่อมาจำเลยได้นำเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 339,313.85 บาท สำหรับ ชำระหนี้งวดแรกโดยหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จำนวน 35,686.15 บาท มาวาง ศาลพร้อมหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากรเพื่อให้ โจทก์รับไป
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอม ความนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนให้โจทก์จำนวน 3 เดือน เพราะ เหตุที่จำเลยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนเลิกจ้าง 6 เดือน ตามข้อตกลงในสัญญา บริการไม่มีข้อตกลงให้จำเลยมีสิทธิหักภาษี ณ ที่จ่ายได้แต่อย่างใด ตามสัญญา บริการเอกสารหมายเลข 1 ท้ายฟ้อง ข้อ 4.1 และ 4.2 ได้ตกลงกันไว้ว่า เงิน ค่าจ้างที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์เดือนละ 250,000 บาทนั้น ไม่มีการหัก ภาษีใด ๆ ทั้งสิ้น หากมีภาษีที่โจทก์จะต้องจ่ายจำเลยจะเป็นผู้จ่ายแทนทั้งหมด จำเลยจึงต้องจ่ายเงินให้โจทก์เต็มจำนวนในสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรจึงให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำนวนเงิน 750,000 บาท ที่จำเลยตกลงชำระให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอม ความนั้นเป็นการตกลงที่จะชำระเต็มจำนวนตามสัญญาที่ทำไว้ต่อศาล และ ตามสัญญาบริการระหว่างโจทก์จำเลยที่ใช้บังคับในระหว่างที่โจทก์ทำงาน ให้แก่จำเลยที่ใช้เป็นฐานแห่งการชำระเงินในคดีนี้ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อ 4.2 ว่า ภาษีเงินได้และภาษีอื่นที่โจทก์พึงจ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับค่าตอบแทน จำเลยจะเป็นผู้จ่ายแทนในนามของโจทก์ทั้งสิ้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาบริการกันแล้วจึงไม่อยู่ใน ฐานะเป็นลูกจ้างและนายจ้างกันต่อไป จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้ โจทก์ ดังนั้น เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมิใช่ค่าจ้าง เมื่อ โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญากันแล้ว จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องชำระภาษี เงินได้แทนโจทก์ต่อไป และเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ตามสัญญา ประนีประนอมยอมความนี้เป็นเงินได้อันเนื่องมาจากสัญญาจ้างแรงงานและ เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยผู้จ่าย มีหน้าที่ต้องหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ประกอบมาตรา 3 จตุทศ แห่งประมวลรัษฎากร แล้วนำส่งเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร หากโจทก์เห็น ว่าโจทก์เสียภาษีน้อยกว่าที่จำเลยหักไว้ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการ แก่กรมสรรพากรว่าด้วยการคืนภาษีเป็นอีกเรื่องหนึ่งอีกต่างหาก ที่ศาลแรง งานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
(บุญศรี แก้วสาร - อัมพร ทองประยูร - ธวัชชัย พิทักษ์พล)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 07-02-2021