เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่599/2535

 

นายสมควร เหลืองสว่าง

โจทก์

นางมาลี พรรณเชษฐ

จำเลย

เรื่อง ทรัพย์ที่ยืม

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องหนี้ถึงกำหนด ผิดนัด (มาตรา 203 วรรคแรก, 204 วรรคแรก) วิธีพิจารณา
ความแพ่ง ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ฟ้องเคลือบคลุมข้อเท็จจริงที่ต้องกล่าวไว้
ในฎีกา (มาตรา 104,172 วรรคสอง,249) ป.รัษฎากร การรับฟังตราสารที่
ไม่ปิดแสตมป์ (มาตรา 118)

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยได้ยืมปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบ และ ยาฆ่าแมลงจากโจทก์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 81,870 บาท เพื่อนำไปใช้ และจำหน่ายโดยตกลงว่าจำเลยจะคืนให้โจทก์เมื่อเสร็จฤดูการทำใบยาสูบ คือภายในวันที่ 30 เมษายน 2526 ครั้นเมื่อถึงกำหนดจำเลยได้นำมาคืน ให้แก่โจทก์บางส่วนคิดเป็นเงิน 5,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระอีก บางส่วน ยังคงเหลือไม่คืนแก่โจทก์คิดเป็นเงินรวม 48,480 บาท โจทก์ ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนของที่ยังไม่คืน หาก ไม่สามารถคืนได้ก็ให้ชดใช้ราคารวมกันเป็นเงิน 48,480 บาท พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นตัวแทนของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด มีหน้าที่ในการจัดซื้อหาใบยาสูบและจำหน่ายปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบและยา ฆ่าแมลงในเขตจังหวัดพิจิตร จำเลยเป็นนายหน้าของบริษัทวีระพาณิชย์ สว.จำกัด ในการจัดหาชาวไร่ผู้ทำการเพาะปลูกยาสูบให้มาทำการตกลง ขายใบยาสูบแก่บริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด และรับจัดหาชาวไร่ยาสูบ มาทำการรับซื้อปุ๋ยยาบำรุงใบยาสูบและยาฆ่าแมลงทุกชนิดกับบริษัท วีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด บริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด กำหนดให้จำเลย รับปุ๋ยและยาชนิดต่าง ๆ จากโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนไปมอบให้แก่ชาวไร่ ยาสูบแต่ละราย จำเลยจึงมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ นิติกรรมการยืมของ ตามใบยืมทำขึ้นโดยเจตนาลวง เพื่ออำพรางการที่จำเลยเข้ารับเป็น นายหน้าการยืมของจากโจทก์มิได้กำหนดเวลาให้ใช้ของคืน หากโจทก์ จะได้รับความเสียหายก็ได้รับความเสียหายนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2529 เป็นต้นไปเพราะเป็นเวลาสิ้นสุดที่โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระ หนี้ โจทก์เสียหายไม่เกิน 200 บาท ฟ้องโจทก์ที่ว่า ต่อมาที่จำเลย นำเงินมาชำระบางส่วนนั้นไม่ระบุค่าอะไรจำนวนเท่าใดเมื่อใดจำเลย ไม่เข้าใจไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ที่ยืม เป็นเงิน จำนวน 48,840 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับ แต่วันที่ 30 เมษายน 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 เชื่อคำเบิกความของโจทก์และวินิจฉัยว่า จำเลยได้ยืมสิ่งของ จากโจทก์ไปตามเอกสารหมาย จ.2 นั้น จำเลยไม่เห็นด้วย เพราะ เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีข้อความตอนท้ายว่า สิ่งของที่ข้าพเจ้ายืมไป ตามรายการข้างบนนี้ หากข้าพเจ้าไม่สามารถชดใช้เป็นสิ่งของได้ ข้าพเจ้าขอชดใช้เป็นเงินสดให้ทันที หากข้าพเจ้าบิดพลิ้วไม่ชำระ... ข้าพเจ้ายอมให้บริษัทฯดำเนินคดี... ตลอดจนยอมชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่ บริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด... ซึ่งโจทก์อ้างว่าเหตุที่ใช้ใบยืมของบริษัท วีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด คือเอกสารหมาย จ.2 เพราะโจทก์เพิ่งทำกิจการ ใบยาสูบครั้งแรกจึงนำมาเป็นแบบนั้นขัดเหตุผล เพราะโจทก์สามารถทำ ใบยืมโดยกำหนดข้อความขึ้นใหม่ได้หรือหากโจทก์จะนำใบยืมดังกล่าว ของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด มาใช้ในนามของโจทก์ก็จะต้องแก้ไข ข้อความเป็นชดใช้ให้โจทก์ การกระทำของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 แสดงให้เห็นว่า โจทก์กระทำในฐานะตัวแทนของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว. จำกัด มิได้กระทำในฐานะส่วนตัว จำเลยเป็นนายหน้าของบริษัทดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้ยืมสิ่งของดังที่โจทก์ฟ้องนั้น โจทก์เบิกความว่าโจทก์ไม่ได้ เป็นตัวแทนของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด โจทก์ได้โควตาขายใบ ยาสูบให้แก่บริษัทดังกล่าว 100,000 กิโลกรัม โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ ต้องซื้อปุ๋ยยาฆ่าแมลง ยาบำรุงต่าง ๆ จากบริษัทดังกล่าว ซึ่งในเรื่องนี้ นายประทีป ทองอิ่มผู้จัดการบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด พยานโจทก์ ได้เบิกความรับรองดังที่โจทก์เบิกความ เรื่องใบยืมของตามเอกสารหมาย จ.2 ก็มีข้อความข้างบนของเอกสารระบุชัดเจนว่า จำเลยเป็นผู้ยืมสิ่งของ จากโจทก์ รวม 6 รายการ และข้างท้ายของเอกสารดังกล่าว จำเลยได้ลง ชื่อผู้ยืมไว้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีใบส่งสินค้าเอกสารหมาย จ.1 ระบุชื่อร้าน โจทก์ข้อความดังกล่าวชัดแจ้งว่า จำเลยยืมสิ่งของต่าง ๆ จากโจทก์ โจทก์ก็ได้เบิกความอธิบายว่า เอกสารหมาย จ.2 เป็นของบริษัทวีระ พาณิชย์ ส.ว.จำกัด ซึ่งโจทก์นำมาใช้เพราะเพิ่งทำกิจการใบยาสูบเป็น ครั้งแรกและโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า โจทก์ไม่ได้ เป็นตัวแทนบริษัทดังกล่าว เห็นว่าโจทก์เบิกความและอธิบายสมเหตุผล มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า โจทก์ไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด ดังที่จำเลยอ้าง
ที่จำเลยฎีกาว่าศาลฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่รับฟังพยานเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 เพราะจำเลยไม่ถามค้านขณะที่โจทก์เบิกความและไม่ได้ส่ง สำเนาให้โจทก์ก่อนสืบพยาน 3 วัน เป็นการคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง ความจริงจำเลยได้ถามค้านนายประทีปพยานโจทก์ไว้เกี่ยวกับเอกสาร หมาย ล.1 และ ล.2 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น ปรากฏว่าจำเลย ได้อุทธรณ์ เรื่องเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ วินิจฉัยสรุปว่า จำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยเป็นนายหน้าของบริษัท วีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด ซึ่งโจทก์เป็นตัวแทนในเขตจังหวัดพิจิตรเมื่อจำเลย ไปรับของ โจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อไว้ในใบยืมของเอกสารหมาย จ.2 โดย โจทก์อ้างว่า ที่ให้ทำหนังสือดังกล่าวเพื่ออำพรางการเป็นนายหน้าของ จำเลยต่อบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด ไม่มีความประสงค์จะผูกพันตาม กฎหมาย จึงขัดต่อเหตุผล จะรับฟังเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 เป็น พยานหลักฐานได้หรือไม่ก็ตามก็ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงข้อวินิจฉัย ข้างต้นว่า ไม่จำต้องวินิจฉัยนั้นเห็นว่า ตามฎีกาของจำเลย จำเลยมิได้ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในเรื่องนี้ไว้ ศาลฎีกาจึง ไม่วินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาประเด็นว่าหนี้ถึงกำหนดชำระหรือไม่และค่าเสียหาย เท่าไรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยฟังตามที่โจทก์นำสืบว่าใบยืมไม่ได้ กำหนดเวลาส่งคืนแต่ตกลงกันว่าจำเลยจะส่งคืนของเมื่อสิ้นฤดูกาลทำ ใบยา คือภายในวันที่ 30 เมษายน 2526 หากคืนไม่ได้ก็จะชำระเป็น เงิน จำเลยนำสืบรับว่า เริ่มเก็บเกี่ยวใบยาสูบในเดือนเมษายน 2526 ใบยาสูบที่เก็บเกี่ยวแล้วต้องนำมาบ่มจนแห้งใช้เวลาเดือนเศษ ในเดือน เมษายน 2526 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและยา บำรุงใบยาอีก อนุมานจากพฤติการณ์ได้ว่า จะต้องส่งคืนในเดือนนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดโจทก์จึงเรียกค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีได้จำเลยไม่เห็นด้วยเพราะเอกสารหมาย จ.2 ไม่ได้กำหนด เวลาที่จะใช้คืนสิ่งของที่โจทก์เบิกความว่าตกลงคืนของภายในวันที่ 30 เมษายน 2526 เป็นการอ้างลอย ๆ หากตกลงไว้จริง โจทก์คงไม่ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึง 2 ปีเศษ จึงได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลย คืนของแก่โจทก์ หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 652 โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยคืน ของครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2529 และสิ้นสุดระยะเวลายืม สิ่งของวันที่ 12 เดือนเดียวกัน โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2529 ค่าเสียหายจึงมีแต่เพียงค่าทวงถามนั้น จำเลยนำสืบรับว่าเริ่ม เก็บเกี่ยวใบยาสูบในเดือนเมษายน 2526 เห็นว่าการที่จำเลยยืมปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบและยาฆ่าแมลงไปจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ในการทำใบยาสูบ จำเลยจะทำใบยาสูบเอง หรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้ตามเอกสารหมาย จ.2 จะไม่ได้กำหนดเวลา คืนสิ่งของไว้ก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ ในฤดูกาลทำใบยาสูบเมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมดส่วน ที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ก็ต้องใช้ราคา ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เชื่อว่าจำเลยได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่าจะต้องส่งคืนสิ่งของเมื่อสิ้นฤดูการ ทำใบยาสูบ ซึ่งอนุมานได้ว่า คือภายในสิ้นเดือนเมษายน 2526 ซึ่งเป็น กรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินเป็นเพียงอนุมาน จากพฤติการณ์ การที่จำเลยยังไม่ส่งคืนของภายในสิ้นเดือนเมษายน 2526 จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2529 โจทก์ มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่ 11 เดือนเดียวกัน จำเลยไม่คืนของตามที่ทวงถาม จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 12 เมษายน 2529 ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาที่ต้องปิดอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากรจึงจะใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลได้ แต่ เอกสารหมาย จ.2ไม่ปิดอากรแสตมป์นั้น เห็นว่า สัญญายืมสิ่งของ มิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ท้ายหมวด 6 แห่งประมวล รัษฎากร จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร ที่จำเลยฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบ คลุมจำเลยไม่เห็นด้วย เพราะคำบรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่ โจทก์บางส่วนรวมเป็นเงิน 5,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของ แก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือ บอกกล่าวทวงถามลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2529 ให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท คำฟ้องกับคำบอกกล่าวขัดกัน จำเลยไม่เข้าใจและไม่ สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องนั้น ปรากฏว่าหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้อง หมายเลข 2 ลงวันที่ 2 เมษายน 2529 ได้แสดงรายละเอียด ของทรัพย์ ที่จำเลยยืมโจทก์ไปรวม 6 รายการเป็นเงิน 48,480 บาทตรงตามฟ้อง โดยไม่รวมรายการที่ 7 ค่ากรรมกรขนของ จึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้า ใจข้อหา ต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เห็นว่า คำฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่ง สภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยืม ถ้าคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคา เป็นเงิน 48,480 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ วันที่ 12 เมษายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
(ชลิต ประไพศาล - อากาศ บำรุงชีพ - สมชัย ศิริบุตร)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 31-01-2021