เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่6168/2534

 

นายสงวน วรรณรัตน์ กับพวก

โจทก์

นายสมพร ศิริชนะ

จำเลย

เรื่อง สัญญามัดจำจะขายที่ดิน

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องแพ่ง ผิดสัญญา ตีความสัญญา (มาตรา 204, 368) ป.รัษฎากร ปิดแสตมป์บริบูรณ์
(มาตรา 118)

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2527 โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันทำสัญญามัดจำจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31568 ของโจทก์ที่ 1 และโฉนดเลขที่ 14254 (ที่ถูกเป็นโฉนดเลขที่ 19254) ของโจทก์ที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านนาโพธิ์ ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก รวมเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา ให้แก่จำเลยในราคา 200,000 บาทจำเลยชำระมัดจำแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 30,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 170,000 บาทจำเลยตกลงจะชำระเมื่อจัดสรรขายที่ดินหมด หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้บุคคลภายนอกเพียง 2-3 ราย แล้วไม่ยอมขายอีกต่อไป โดยแกล้งตั้งราคาให้สูงกว่าท้องตลาดเพื่อถ่วงเวลาชำระราคาที่ดินที่เหลือทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย โจทก์ทั้งสองบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้วขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้อง

จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 (ที่ถูกคือโจทก์ที่ 2 มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1) ดำเนินคดีแทน หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมิได้ตั้งราคาขายที่ดินให้สูงกว่าราคาท้องตลาดเพื่อถ่วงเวลาชำระราคาที่ดินที่เหลือ ราคาที่ตั้งไว้เป็นราคาขายเงินผ่อน และมีผู้จองซื้อที่ดินแล้วถึง 17 ราย จำเลยมิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ร่วมกันคืนเงินมัดจำ 30,000 บาท แก่จำเลยให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 31568 และ 14254 (ที่ถูกเป็นโฉนดเลขที่ 19254) ตำบลวัดจันทร์ อำเภอพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก แก่โจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามโฉนดข้างต้น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินรายนี้อยู่ห่างถนนและความเจริญจึงจัดสรรขายได้ยาก ตามสัญญาก็มีข้อตกลงกันว่าจะโอนกรรมสิทธิ์และชำระค่าราคาส่วนที่เหลือเมื่อจำเลยจัดสรรขายที่ดินได้หมดแล้ว ย่อมต้องหมายความว่าโจทก์ให้โอกาสจำเลยอย่างเต็มที่ในการจัดสรรขายที่ดิน โดยมิได้เร่งรัดให้จำเลยต้องรีบขายที่ดินให้หมดภายในกำหนดระยะเวลาเท่าใด การที่จำเลยขายที่ดินไม่หมดโดยเร็วจึงไม่เป็นการผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยได้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้ตามสัญญามัดจำข้อ 2 จะมีข้อความระบุให้จำเลยมีสิทธิชำระราคาส่วนที่เหลือได้เมื่อจัดสรรขายที่ดินได้หมดแล้วโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาก็ตาม ตามข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายว่าจำเลยจะต้องรีบดำเนินการจัดสรรและเร่งรัดขายที่ดินให้หมดไปโดยมีชักช้าหรืออย่างน้อยจำเลยต้องดำเนินการภายในเวลาอันสมควร แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงปรากฏว่า ภายหลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยมิได้ยื่นเรื่องราวขออนุญาตจัดสรรที่ดินไม่ปรับปรุงถมที่และแบ่งแยกจัดสรรที่ดิน ไม่จัดให้มีสาธารณูปโภคใด ๆ เช่น ไม่ทำถนนไม่เดินสายไฟฟ้าและวางท่อประปา โจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเพิ่งจะนำรถแทรกเตอร์มาเกรดถางหญ้าและขึ้นป้ายโฆษณาจัดสรรที่ดินเมื่อเดือนเมษายน 2530 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีแล้วถึง 3 เดือน โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อจำเลยปล่อยปละละเลยไม่รีบจัดสรรและเร่งรัดขายที่ดิน และมิได้ชำระราคาที่ดินที่เหลือภายในเวลากำหนด กรณีถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลย จำเลยจะอ้างว่ามิได้ประพฤติผิดสัญญาหาได้ไม่

จำเลยฎีกาต่อไปว่าโจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ที่ 2 หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ตามเอกสารหมาย จ.3 มิได้ปิดอากรแสตมป์ทันทีขณะทำตราสาร และมิได้นำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานเพื่อขอเสียอากรเพิ่ม จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นเห็นว่าแม้หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 2 จะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในขณะทำหรือขณะยื่นฟ้อง แต่ขณะที่โจทก์ส่งหนังสือดังกล่าวนั้นต่อศาลในวันนัดสืบพยานได้มีการปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วดังนี้ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวก็ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3220/2525 ระหว่าง นายลอย อภิมล กับพวก โจทก์ นายเอนก แซ่ตั้ง กับพวก จำเลย โจทก์ที่ 1 ผู้รับมอบอำนาจจึงมีอำนาจดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ที่ 2..."

พิพากษายืน

(สมศักดิ์ วิธุรัติ - เสริมพงศ์ วรยิ่งยง - สุนพ กีรติยุติ)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 31-01-2021