คำพิพากษาฎีกาที่5817/2533 | |
สหกรณ์ออมทรัพย์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด | โจทก์ |
นายสุวิทย์ สวมสูง กับพวก | จำเลย |
เรื่อง ค้ำประกัน | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้องแพ่ง ค้ำประกัน (ม.680) พระราชบัญญัติประมวลรัษฎากร (ม.118) สหกรณ์ พ.ศ. 2531 (ม.9) | |
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ใน ตำแหน่งพนักงานการเงินประจำหน่วยส่วนกลาง มีหน้าที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับการจ่ายเงินกู้ฉุกเฉิน ออกใบรับเงิน ทำใบแจ้งหนี้เก็บเงินจาก สมาชิกของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการที่โจทก์ รับจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโดยจำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือค้ำประกันให้ โจทก์ไว้ว่า ในระหว่างเป็นลูกจ้างโจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 กระทำการ อย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้แทนให้ทั้งสิ้นโดยไม่จำกัดจำนวนระหว่าง วันที่ 6 มกราคม 2524 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2525 จำเลยที่ 1 ปลอมแปลงลายมือชื่อสมาชิกของโจทก์ แล้วทำเรื่องขอกู้เงินฉุกเฉิน จากโจทก์ในนามของสมาชิกนั้นรวมหลายคราวเป็นเงินทั้งสิ้น 728,070 บาท โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของสมาชิกจริง จึงอนุมัติจ่ายให้ไป จำเลยที่ 1 นำเงินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน ทำให้โจทก์ เสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนให้โจทก์โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือ ทวงถาม จำเลยทั้งสองได้รับแจ้งแล้วไม่ชำระจำเลยทั้งสองต้องร่วมกัน ชดใช้เงิน 728,070 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่ วันที่ 15 มกราคม 2525 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ขอคิดเพียง10 เดือน เป็นเงิน 45,504.38 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 773,574.38 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 773,574.38 บาท พร้อม ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 728,070 บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำ ให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคย ตกลงค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวนตามฟ้อง ความจริง จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เป็นเงินเพียง 10,000 บาท และ ไม่เคยค้ำประกันรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 เป็นเพียงพนักงาน จ่ายเงินมิได้มีหน้าที่ทำเรื่องราวขอกู้เงินฉุกเฉิน การขอกู้เงินฉุกเฉิน ของสมาชิกโจทก์ บัญชีแสดงรายการกู้ฉุกเฉินโจทก์ทำขึ้นเอง มิใช่ หลักฐานแสดงการทุจริต การกู้เงินฉุกเฉินมีระเบียบปฏิบัติวางไว้ให้ อยู่ในความรับผิดของนายนิรันดร์ ศิลปพิบูลย์ ผู้จัดการ นางกัญจนรัตน์ ทองประดิษฐ์ สมุห์บัญชี นางสุปราณี ศุภมนตรี และนายบุญชู โสหา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสำเนาและบัญชีคุมเงิน ถ้าบุคคลเหล่านี้ใช้ความ ระมัดระวังไม่บกพร่องต่อหน้าที่ก็จะมีการทุจริตเป็นจำนวนเงินมาก ไม่ได้ ดังนั้น หากเกิดการทุจริตจริงก็เป็นเรื่องที่บุคคลทั้งสี่ต้องเป็นผู้ รับผิดโดยตรง มิใช่ผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันจะรับผิดต่อเมื่อมีการ ปฏิบัติโดยถูกระเบียบแล้วเกิดความเสียหายขึ้นโดยความผิดของ จำเลยที่ 1 ผู้เดียว ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เหตุทุจริตที่เกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 6 มกราคม 2524 ถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2524 ขาด อายุความ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระเงิน 700,770 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของ ต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 15 มกราคม2525 จนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นสหกรณ์ตามพระ- ราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 ตามมาตรา 9 สัญญาค้ำประกันซึ่ง สหกรณ์เป็นคู่สัญญาได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์นั้น มาตรา 9 บัญญัติไว้ว่า "ถ้าสหกรณ์เกี่ยวข้องในกิจการใดที่กฎหมาย กำหนดให้จดทะเบียนสำหรับการได้มา การจำหน่าย การยกขึ้นเป็น ข้อต่อสู้ หรือการยึดหน่วงซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์ สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การจดทะเบียนเช่นว่านั้นให้ได้รับ ยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม" สัญญาค้ำประกันตามฟ้องมิได้มี กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียนสัญญาแต่ประการใดเป็นนิติกรรม ธรรมดา แม้สหกรณ์โจทก์จะเป็นคู่สัญญาก็ไม่ได้รับการยกเว้นไม่ต้อง เสียค่าอากรแสตมป์หรือค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟัง ไม่ขึ้น ที่โจทก์ฎีกาว่า แม้สัญญาค้ำประกันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 จะมิได้ ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ แต่จำเลยที่ 2 ให้การยอมรับว่าเป็นผู้ทำสัญญา ค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์จริง จึงไม่จำต้องอาศัยสัญญา ค้ำประกันเป็นพยานหลักฐาน คดีรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำ ประกันตามฟ้องจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง่าจำเลยที่ 1 ได้นำเงินจำนวน 728,070 บาท ของโจทก์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลย ที่ 1 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเงินจำนวนดังกล่าวด้วยเต็มจำนวน จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยตกลงค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดย ไม่จำกัดจำนวนตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เป็นเงินเพียง 10,000 บาท เท่านั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับแล้วว่าได้ทำสัญญา ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เป็นจำนวน 10,000 บาทตามฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันตามจำนวนดังกล่าวโดยไม่จำเป็น ต้องใช้สัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา สำหรับ ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันเกินจำนวน 10,000 บาทหรือไม่ ย่อมต้องอาศัยหนังสือสัญญาค้ำประกันมาเป็น พยานหลักฐาน อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จึงไม่อาจจะวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำ ประกันจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในเงินจำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนนี้ นับตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น นอกจากที่แก้ให้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (พินิจ ฉิมพาลี ชุม สุกแสงเปล่ง เทพฤทธิ์ ศิลปานนท์) |