เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่5776/2533

 

นายวีระ ยศสุนทรากุล กับพวก

โจทก์

บริษัท ยูไนเต็ดคอนสตรั๊คชั่น กับพวก

จำเลย

เรื่อง จ่ายเงิน

 

กฎหมายที่เกี่ยวข้องวิธีพิจารณาความแพ่ง จ่ายเงิน (ม.318)
พระราชบัญญัติ ประมวลรัษฎากร (ม.3 จตุทศ, 50, 52, 54)

คดีสืบเนื่องมาจากศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้เงินค่าจ้างแรงงานจำนวน 765,960 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง คือวันที่ 17 พฤษภาคม2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ศาลแรงงานกลางออกคำบังคับและหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดี และรายงานว่าได้อายัดเงินค่ารับเหมาก่อสร้างซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับจากกรมชลประทานตามคำขอของโจทก์ที่ 1 จำนวน 817,184 บาทต่อมาจำเลยที่ 1 แถลงว่า เงินที่โจทก์ที่ 1 จะได้รับเป็นค่าจ้างของโจทก์ที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพื่อส่งกรมสรรพากรคิดเป็นเงิน 279,819.20 บาท ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินดังกล่าวเพื่อจำเลยที่ 1 จะได้นำไปชำระภาษี ณ กรมสรรพากรต่อไปโจทก์ที่ 1 แถลงว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิที่จะขออายัดเงินดังกล่าวเพราะเป็นเงินคนละส่วนกับที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง และเป็นเงินคนละปีภาษีกันด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำแถลงของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ทราบและให้ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 8 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 6 มิถุนายน 2533 คัดค้านคำแถลงของโจทก์ที่ 1 ศาลแรงงานกลางนัดพร้อมในวันนัดพร้อมจำเลยที่ 1 แถลงขอให้ศาลแรงงานกลางกักเงินจำนวนดังกล่าวและขอรับเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของโจทก์ที่ 1 ที่กรมสรรพากรต่อไป โจทก์ที่ 1 แถลงคัดค้านว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอให้กักเงินจำนวนดังกล่าว ขอให้ศาลแรงงานกลางยกคำขอ จากจำเลยที่ 1 และขอรับเงินจำนวน 537,364.80 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่โต้แย้ง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเงินที่กรมชลประทานส่งมาตามคำสั่งอายัดมาศาลและเบิกจ่ายเงินจำนวน 537,364.80 บาท ให้โจทก์ที่ 1 และให้ไต่สวนว่าเฉพาะเงินจำนวน 279,819.20 บาท ที่จำเลยที่ 1 จะขอกักไว้และขอรับไปเพื่อชำระเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของโจทก์ที่ 1 ได้หรือไม่ ระหว่างรอไต่สวนโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2533 อ้างว่าศาลแรงงานไม่มีอำนาจสั่ง และเงินดังกล่าวตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ที่ 1 แล้วขอให้งดการไต่สวนและยกคำขอของจำเลยที่ 1 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 ดังกล่าว ในวันไต่สวนโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 แถลงรับข้อเท็จจริงกันเกี่ยวกับการเป็นลูกจ้างและเงินค่าจ้างที่จ่ายให้แก่กัน ตลอดถึงภริยาและบุตรของโจทก์ที่ 1 ที่หักค่าลดหย่อนภาษีได้ ศาลแรงงานกลางจึงงดการไต่สวน ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การหักภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ณ ที่จ่ายนั้น จะต้องหักขณะมีการจ่ายค่าจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ได้จ่ายไปบางส่วนแล้วโดยมิได้หักภาษีเงินได้ไว้ และค่าจ้างที่เหลือก็มิได้จ่ายจนต้องฟ้องและบังคับคดีอายัดเงินที่กรมชลประทานเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 การส่งเงินตามอายัดของกรมชลประทานให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการปฏิบัติตามภาระของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ที่ 1 ถือว่าได้มีการจ่ายค่าจ้างแล้ว จึงพ้นเวลาที่จะหักภาษี จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอกักเงินไว้ มีคำสั่งให้ยกคำขอของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 1 ได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ที่ 1ไปก่อนแล้วบางส่วน โดยจำเลยที่ 1 มิได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ และในการจ่ายเงินคราวนี้จ่ายเป็นเงินค่าจ้างตามคำพิพากษา 765,960 บาท ส่วนเงินที่กรมชลประทานส่งมา 817/184 บาท เกินกว่าจำนวนค่าจ้างตามคำพิพากษาเพราะจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดดอกเบี้ยด้วย เงินที่เกินมาจึงเป็นดอกเบี้ยของเงินค่าจ้าง จำเลยที่ 1 ขอให้กักเงินค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวน 279,819.20 บาท โดยคิดภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ 1 จากค่าจ้างทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 ได้จ่ายให้โจทก์ที่ 1 ไปแล้วกับที่จะจ่ายตามคำพิพากษาคราวนี้รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินที่จะต้องรับผิดด้วย

ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1จะขอกักเงินที่กรมชลประทานส่งมาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งอายัด และขอรับเงินดังกล่าวไปเพื่อชำระภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องหัก ณ ที่จ่ายได้หรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยดังกล่าว เงินจำนวน 279,819.20 บาทที่พิพาทกัน จำเลยที่ 1 ขอให้กักไว้เป็นค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยคิดจากเงินค่าจ้างซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ที่ 1 ทั้งหมดแต่มีเงินค่าจ้างซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินบางส่วน จำเลยที่ 1 ได้จ่ายให้โจทก์ที่ 1 ไปก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จตุทศ, 50, 52 ให้บุคคลผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหักภาษีเงินได้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินได้ถึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้าง และนำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องหักภาษีทุกคราวที่มีการจ่าย ถ้าจำเลยที่ 1 มิได้หักและนำส่งเงินภาษีให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์ที่ 1 ด้วย ตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร จึงเห็นได้ว่าเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายถ้าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 โดยตรง จำเลยที่ 1 มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในคราวที่จ่าและนำส่งให้ถูกต้องแต่เงินรายนี้เป็นการบังคับคดีสำหรับค่าจ้างที่ค้างชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้จ่ายให้โจทก์ที่ 1 กรณีเช่นนี้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 แทนจำเลยที่ 1 เท่ากับจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเอง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิจะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ได้ เพื่อจะได้ส่งเป็นเงินภาษีต่อไป แต่การที่จะหักเงินภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักทุกคราวที่มีการจ่าย เมื่อจ่ายเงินได้พึงประเมินในคราวใดเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินในการจ่ายในคราวนั้น สำหรับจำนวนเงินที่กักไว้เป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายในคดีนี้เป็นเงิน 279,819.20 บาท จำเลยที่ 1 คิดจากเงินได้พึงประเมินทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 จะเอาเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไปก่อนแล้วมาคิดหักเป็นภาษีในคราวนี้ด้วยย่อมไม่ชอบจำเลยที่ 1 คงมีสิทธิขอหักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างสำหรับการจ่ายในคราวนี้เท่านั้น ปรากฏว่าการจ่ายเงินค่าจ้างในคดีนี้มีเพียง 769,960 บาท นอกนั้นเป็นดอกเบี้ย ซึ่งมิใช่ค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 จะหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างค่าจ้างได้ เงินได้พึงประเมินจำนวน 765,960 บาท จะเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายของโจทก์ที่ 1 เป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ 1 มิได้คิดรายละเอียดไว้คงมีแต่ขอให้หักภาษี ณ ที่จ่ายเพื่อจำเลยที่ 1 นำส่งกรมสรรพากรเป็นเงิน279,819.20 บาท แต่เงินภาษีส่วนนี้คิดจากเงินได้พึงประเมินซึ่งเป็นค่าจ้างที่จ่ายไปในคราวอื่นและดอกเบี้ยด้วย จึงเป็นจำนวนภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้องจำเลยที่ 1 มีสิทธิจะขอให้หักภาษี ณ ที่จ่ายได้ในจำนวนเงินได้พึงประเมินสำหรับค่าจ้าง 765,960 บาทโดยให้คิดตามวิธีการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับโจทก์ที่ 1 ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เท่านั้น อุทธรณ์จำเลยที่ 1 ฟังข้นเฉพาะส่วนนี้"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายได้ โดยให้คิดจากเงินได้พึงประเมิน 765,960 บาทนอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำสั่งศาลแรงงาน

(ก้าน อันนานนท์ ศรีภูมิ สุวรรณโรจน์ อุดม เฟื่องฟุ้ง)

 

ปรับปรุงล่าสุด: 31-01-2021