เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่3450/2548 
นายสุวัฒน์ ลิมปานนท์ โจทก์

กรมสรรพากร

จำเลย
เรื่อง ภาษีอากร
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1200 1202 1202 1203 1204 1205 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528)

กำหนดเวลาการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน เป็นกำหนดเวลาให้ฟ้องคดี ถ้ามิได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง กำหนดเวลาดังกล่าวแม้เป็นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ก็เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจขยายได้โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ประกอบมาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2542 เป็นเพียงระเบียบที่กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินถือปฏิบัติ ไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องถือตามระเบียบดังกล่าว ศาลมีอำนาจพิจารณาว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินงดหรือลดเบี้ยปรับมานั้นถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ และมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับได้เองในกรณีที่มีเหตุสมควรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอีกด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเห็นได้ชัดเจนว่าการที่บริษัทฯ จดทะเบียนเลิกบริษัทและอยู่ในระหว่างการชำระบัญชี โดยผู้ชำระบัญชีขายทรัพย์สินและรวบรวมรายได้หลังจากหักรายจ่ายบริษัทมีกำไรสุทธิหักผลขาดทุนสะสมยกมาจากปีก่อนแล้วบริษัทมีกำไรสะสมสิ้นปี การที่บริษัทจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ไม่ถือว่าเป็นเงินปันผล เพราะมิได้จ่ายตาม หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามมาตรา 1200 ถึง มาตรา 1205 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกรณีของโจทก์ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อน ดังนี้ การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ลดเบี้ยปรับลงคงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนั้นชอบแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์มากกว่าที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัย

 

ปรับปรุงล่าสุด: 12-02-2021