เมนูปิด

อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย

และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร

ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้


รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย

 

                  มีความปรารถนาที่จะทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้

 

 

ข้อ 1

ขอบข่ายด้านบุคคล

 

                อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือทั้งสองรัฐ

 

 

ข้อ 2

ภาษีที่อยู่ในขอบเขต

 

1.             อนุสัญญานี้ ให้ใช้บังคับแก่ภาษีเก็บจากเงินได้ ที่ตั้งบังคับในนามของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐหรือในนามของเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นของแต่ละรัฐ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเรียกเก็บ

 

2.             ภาษีทั้งปวงที่ตั้งบังคับเก็บจากเงินได้ทั้งสิ้น หรือจากองค์ประกอบของเงินได้ รวมทั้งภาษีที่เก็บจากผลได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาษีที่เก็บจากการเพิ่มค่าของทุนให้ถือว่าเป็นภาษีเก็บจากเงินได้

 

3.             ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในข่ายแห่งอนุสัญญานี้ ได้แก่

 

                (ก)           ในประเทศฝรั่งเศส

 

                                (1)          ภาษีเงินได้

 

                                (2)          ภาษีบรรษัท

 

                               รวมทั้งภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย ภาษีชำระล่วงหน้า (Precompte) หรือการชำระเงินล่วงหน้าในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีที่กล่าวข้างต้น

 

                               (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีฝรั่งเศส")

 

                (ข)          ในประเทศไทย

 

                               (1)          ภาษีเงินได้

 

                               (2)          ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม

 

                               (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "ภาษีไทย")

 

4.             อนุสัญญานี้ให้ใช้บังคับแก่ภาษีใดๆ ที่เหมือนกัน หรือในสาระสำคัญคล้ายคลึงกันอีกด้วย ซึ่งในเวลาต่อไปจะได้ตั้งบังคับเพิ่มเติมจากหรือแทนที่ภาษีที่อยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะได้แจ้งแก่กันและกัน เพื่อให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ ซึ่งได้มีขึ้นในกฎหมายภาษีอากรของแต่ละรัฐ

 

5.             หากในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญารัฐใดรัฐหนึ่ง และเห็นเป็นการสมควรที่จะแก้ไขบทข้อใดข้อหนึ่งแห่งอนุสัญญานี้ โดยมิให้กระทบกระเทือนหลักการโดยทั่วไปแห่งอนุสัญญา การแก้ไขอันที่จำเป็นนั้น อาจกระทำได้ด้วยความเห็นชอบร่วมกัน โดยวิธีการแลกเปลี่ยนตราสารทางการทูต หรือโดยวิธีการปฏิบัติอย่างอื่นตามวิธีการทางรัฐธรรมนูญ

 

 

ข้อ 3

บทนิยามทั่วไป

 

1.             ในอนุสัญญานี้

 

                (ก)          คำว่า "ประเทศฝรั่งเศส" หมายถึง อาณาเขตในภาคพื้นยุโรปและภาคโพ้นทะเล (กัวเดอลูป กิอานา มาร์ทินิก และเกาะเรอุนยอง) ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส และพื้นที่ใดๆ ที่ติดต่อกับอาณาเขตทางทะเลของอาณาเขตนั้นๆ ซึ่งโดยกฎหมายฝรั่งเศส และตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่กำหนดไว้หรืออาจจะได้กำหนดต่อไปว่า เป็นพื้นที่ซึ่งเป็นสิทธิของฝรั่งเศส ในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดิน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ

 

                คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและพื้นที่ติดต่อกับอาณาเขตทางทะเลของราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามกฎหมายของไทยและตามกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้หรือที่อาจจะได้กำหนดต่อไปให้เป็นพื้นที่ซึ่งเป็นสิทธิของราชอาณาจักรไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินรวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ

 

                (ข)          คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง ประเทศฝรั่งเศส หรือประเทศไทย แล้วแต่บริบทจะกำหนด

 

                               คำว่า "รัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง" หมายถึง ประเทศฝรั่งเศส และประเทศไทย

 

                (ค)          คำว่า "บุคคล" กอปรด้วยบุคคลธรรมดา บริษัท และคณะบุคคลอื่นใด

 

                (ง)          คำว่า "บริษัท" หมายถึง นิติบุคคลใด หรือคณะบุคคลใดซึ่งได้รับการปฏิบัติอย่างนิติบุคคลเพื่อความมุ่งประสงค์ในทางภาษี

 

                (จ)          คำว่า "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" และ "วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง" หมายความตามลำดับถึง วิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจที่ประกอบการโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

                (ฉ)          คำว่า "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายถึง

 

                               -              ในกรณีของประเทศฝรั่งเศส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการและการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ

 

                               -              ในกรณีของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจ

 

2.             ในการใช้บังคับอนุสัญญาโดยรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง คำใดๆ ที่มิได้นิยามไว้เป็นอย่างอื่น ให้มีความหมายซึ่งคำนั้นมีอยู่ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้น เกี่ยวกับภาษีที่อยู่ในขอบข่ายของความตกลงนี้เว้นแต่บริบทจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

 

 

ข้อ 4

ภูมิลำเนาเพื่อการรัษฎากร

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง" หมายถึง บุคคลใดๆ ผู้ซึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้น จำต้องเสียภาษีในรัฐนั้น โดยเหตุผลแห่งการมีภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ สถานการจดทะเบียนหรือการจัดการ หรือโดยหลักเกณฑ์อื่นใดในทำนองเดียวกัน

 

2.             ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทของวรรค 1 บุคคลธรรมดาคนใดเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้วินิจฉัยกรณีตามกฎดังต่อไปนี้

 

                (ก)          ให้ถือว่าบุคคลธรรมดา ผู้มีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญารัฐใด เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้น ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งตนมีความสัมพันธ์ทางส่วนตัว และทางเศรษฐกิจใกล้ชิดที่สุด (ศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญ)

 

                (ข)               ถ้าไม่อาจกำหนดรัฐผู้ทำสัญญาอันเป็นที่ตั้งศูนย์กลางของผลประโยชน์อันสำคัญของบุคคลธรรมดาได้ก็ดี หรือถ้าไม่มีที่อยู่ถาวรของบุคคลธรรมดาอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐก็ดี ให้ถือว่าบุคคลธรรมดานั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนมีที่อยู่เป็นปกติ

 

                (ค)          ถ้าบุคคลธรรมดามีที่อยู่เป็นปกติในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ หรือไม่มีอยู่เลยในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ตนเป็นคนชาติ

 

                (ง)          ถ้าบุคคลธรรมดาเป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐหรือมิได้เป็นคนชาติของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

3.             ถ้าโดยเหตุผลแห่งบทของวรรค 1 บุคคลใดที่มิใช่บุคคลธรรมดา เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐนั้นแก้ไขปัญหาโดยความตกลงร่วมกัน

 

 

ข้อ 5

สถานประกอบการถาวร

 

1.             เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ คำว่า "สถานประกอบการถาวร" หมายความว่า สถานธุรกิจประจำ ซึ่งวิสาหกิจใช้ประกอบธุรกิจทั้งหมด หรือแต่บางส่วน

 

2.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" โดยเฉพาะให้รวมถึง

 

                ก)            สถานที่จัดการ

 

                ข)            สาขา

 

                ค)            สำนักงาน

 

                ง)            โรงงาน

 

                จ)            โรงช่างฝีมือ

 

                ฉ)           เหมืองแร่ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นที่ใช้ในการขุดทรัพยากรธรรมชาติ

 

                ช)           อาคาร หรือ สิ่งปลูกสร้าง หรือโครงการประกอบ ถ้าหากดำรงอยู่เกินกว่า

 

                               (1)          6เดือน ในกรณีที่มีการติดตั้งหรือการตั้งอุปกรณ์โรงงาน หรือเครื่องจักร รวมถึงการก่อสร้างเพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อการติดตั้งเช่นว่านั้น

 

                               (2)          3เดือน ในกรณีอื่นๆ

 

3.             คำว่า "สถานประกอบการถาวร" มิให้ถือว่ารวมถึง

 

                ก)            การใช้เครื่องอำนวยความสะดวกเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจ

 

                ข)            การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการเก็บรักษา จัดแสดงหรือส่งมอบ

 

                ค)            การเก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้า ซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นเพียงความมุ่งประสงค์ให้วิสาหกิจอื่นใช้ในการแปรสภาพ

 

                ง)            การมีสถานธุรกิจประจำไว้เพียงเพื่อการจัดซื้อของหรือสินค้า หรือเพื่อรวบรวมข้อสนเทศเพื่อวิสาหกิจนั้น

 

                จ)            การมีสถานธุรกิจประจำไว้ เพียงเพื่อความมุ่งประสงค์ในการโฆษณา จัดหาให้ซึ่งข้อสนเทศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือเพื่อกิจกรรมทำนองเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นการเตรียมการหรือเป็นส่วนประกอบของวิสาหกิจ

 

4.             แม้จะมีบทของวรรค 3 อยู่ บุคคลที่กระทำการในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ในนามของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง นอกเหนือไปจากตัวแทนที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ซึ่งอยู่ในบังคับของวรรค 5 ให้ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรในรัฐแรก ถ้า

 

                ก)            บุคคลนั้น มีและใช้อำนาจในการทำสัญญาเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้น อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญานั้นเป็นปกติ เว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น หรือ

 

                ข)            บุคคลนั้น ได้เก็บรักษามูลภัณฑ์ของของหรือสินค้าซึ่งเป็นของวิสาหกิจนั้นอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญานั้นเป็นปกติ และดำเนินการส่งมอบของหรือสินค้าจากมูลภัณฑ์นั้นเพื่อหรือในนามของวิสาหกิจนั้นอยู่เป็นประจำ หรือ

 

                ค)            บุคคลนั้น จัดหาคำสั่งซื้อทั้งหมดในรัฐผู้ทำสัญญานั้นอยู่เป็นปกติ เพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจนั้น และวิสาหกิจอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

5.             วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง จะไม่ถือว่ามีสถานประกอบการถาวรในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงเพราะว่าได้ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยผ่านทางนายหน้า ตัวแทนค้าต่างทั่วไป หรือตัวแทนอื่นใดที่มีสถานภาพเป็นอิสระ ถ้าบุคคลเช่นว่านั้นได้กระทำตามทางอันปกติแห่งธุรกิจของตน นายหน้าหรือตัวแทน จะไม่ถือว่ามีสถานภาพเป็นอิสระ หากได้ประกอบการในอีกรัฐหนึ่ง เกี่ยวกับกิจกรรมที่กำหนดไว้ในวรรค 4 ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของวิสาหกิจนั้น หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ในวิสาหกิจนั้น

 

6.             ข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งควบคุม หรืออยู่ในความควบคุมของบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือซึ่งประกอบธุรกิจในอีกรัฐหนึ่งนั้น (ไม่ว่าจะผ่านสถานประกอบการถาวรหรือไม่ก็ตาม) มิเป็นเหตุให้บริษัทหนึ่งบริษัทใดเป็นสถานประกอบการถาวรของอีกบริษัทหนึ่ง

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011