คำสั่งกรมสรรพากร
ที่ ป. 89/2542
เรื่อง การขายสินค้านอกราชอาณาจักร โดยผู้ประกอบการจดทะเบียน
---------------------------------------------
เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจและแนะนำเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้านอกราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการจดทะเบียน กรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่นอกราชอาณาจักร โดยได้สั่งซื้อสินค้าที่ขายจากผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าที่อยู่นอกราชอาณาจักร และให้ผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าที่อยู่นอกราชอาณาจักรส่งมอบสินค้าที่ขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่นอกราชอาณาจักร โดยตรง โดยไม่ได้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักร และไม่ได้ส่งสินค้านั้นออกนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใด การขายสินค้าดังกล่าวถือเป็นการกระทำนอกราชอาณาจักร ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง บริษัท A. ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม ได้สั่งซื้อสินค้าจาก บริษัท ก. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในประเทศไทย เนื่องจากบริษัท ก. ไม่มีสินค้าบริษัท ก. จึงสั่งซื้อสินค้าจากบริษัท B. ซึ่งเป็นผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าในประเทศญี่ปุ่น โดยสั่งให้บริษัท B. ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่บริษัท A. โดยตรง บริษัท ก. ไม่ได้กระทำพิธีการศุลกากรนำเข้าสินค้าและส่งออกสินค้าไปให้บริษัท A. ดังนั้น บริษัท ก. จึงไม่ต้องนำมูลค่าของการขายสินค้านอกราชอาณาจักรให้แก่บริษัท A. มารวมคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อ 2 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่นอกราชอาณาจักร โดยได้สั่งซื้อสินค้าที่ขายจากผู้ขายซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในราชอาณาจักร ด้วยกัน และผู้ขายในราชอาณาจักรได้สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวจากผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าที่อยู่นอกราชอาณาจักรอีกทอดหนึ่ง และให้ผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าที่อยู่นอกราชอาณาจักรส่งมอบสินค้าที่ขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่นอกราชอาณาจักรโดยตรง โดยไม่ได้นำสินค้าดังกล่าวเข้ามา ในราชอาณาจักร และไม่ได้ส่งสินค้านั้นออกนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใด การขายสินค้า ระหว่าง ผู้ประกอบการจดทะเบียนกับผู้ซื้อที่อยู่นอกราชอาณาจักร ถือเป็นการกระทำนอกราชอาณาจักร ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้ขายซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในราชอาณาจักรขายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่นอกราชอาณาจักรอีกทอดหนึ่ง โดยไม่มีการนำสินค้าที่ขายเข้ามาในราชอาณาจักร และไม่ได้ส่งมอบสินค้าในราชอาณาจักร ตามวรรคหนึ่ง ถือเป็นการกระทำนอกราชอาณาจักร ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง บริษัท A. ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนาม ได้สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท ก. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในประเทศไทย และบริษัท ก. ได้สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท ข. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในประเทศไทยเช่นกัน เนื่องจากบริษัท ข. ไม่มีสินค้าดังกล่าว จึงได้สั่งซื้อสินค้าจากบริษัท B. ซึ่งเป็นผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าในประเทศญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง โดยสั่งให้บริษัท B. ส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้แก่บริษัท A. โดยตรง บริษัท ข. ไม่ได้กระทำพิธีการศุลกากรนำเข้าสินค้าเพื่อส่งมอบให้แก่บริษัท ก. และบริษัท ก.ไม่ได้กระทำพิธีการศุลกากรส่งออกสินค้าไปให้บริษัท A. ดังนั้น บริษัท ก.จึงไม่ต้องนำ มูลค่าของการขายสินค้านอกราชอาณาจักรให้แก่บริษัท A. มารวมคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และบริษัท ข. ก็ไม่ต้องนำมูลค่าของการขายสินค้านอกราชอาณาจักรให้แก่บริษัท ก.มารวมคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อ 3 ภาษีซื้อที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามข้อ 1 และ ข้อ 2 ได้เสียไปเนื่องจากการประกอบกิจการขายสินค้านอกราชอาณาจักร ผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่มีสิทธินำไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากต้องห้ามตามมาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ประกอบกิจการขายสินค้าในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากรด้วย ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวเฉลี่ยภาษีซื้อที่จะนำไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร
(ยกเลิกโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.164/2568ฯ)
“ข้อ 3/1 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ประกอบการได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาไปใช้ในการประกอบกิจการทั้งสองประเภท ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนปันส่วนภาษีซื้อตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มออกก่อน แล้วจึงนำภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนไปหักออกจากภาษีขาย ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่าง ในเดือนภาษีพฤษภาคม บริษัท ก. เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน มีรายได้จากการขายสินค้า ในประเทศไทยจำนวน 16 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าที่มีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบสินค้ากันในต่างประเทศเป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด) บริษัท ก. มีภาษีซื้อซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใดจำนวน 1 ล้านบาท ดังนั้น บริษัท ก. จะต้องปันส่วนภาษีซื้อออกก่อนร้อยละ 20 ตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภท ที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวน 2 แสนบาท แล้วบริษัท ก. จึงมีสิทธินำภาษีซื้อ ส่วนที่เหลือจากการปันส่วนจำนวน 8 แสนบาท ไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ในเดือนภาษีดังกล่าว”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.164/2568ฯ)
“ข้อ 3/2 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (กิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และกิจการประเภทที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ) และประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยผู้ประกอบการจดทะเบียนนั้นได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาไปใช้ในการประกอบกิจการทั้งสามประเภท ให้ผู้ประกอบการ จดทะเบียนปันส่วนภาษีซื้อตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มออกก่อน แล้วจึงนำเฉพาะภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนมาเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
ตัวอย่าง บริษัท ข. เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ประกอบกิจการขายไก่สดในประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศ ในปี 2566 บริษัท ข. มีรายได้จากกิจการขายไก่สดโดยการส่งออกไปต่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนร้อยละ 50 และรายได้จากกิจการขายไก่สด ในประเทศไทยซึ่งไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนร้อยละ 50
ต่อมาเดือนภาษีพฤษภาคม 2567 บริษัท ข. มีรายได้จากการส่งออกไก่สดไปต่างประเทศ จำนวน 6 ล้านบาท รายได้จากการขายไก่สดในประเทศไทยจำนวน 10 ล้านบาท และรายได้จากการขาย ไก่สดที่ซื้อจากผู้ขายที่ต่างประเทศและส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศจำนวน 4 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด) บริษัท ข. มีภาษีซื้อซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นของ กิจการประเภทใดจำนวน 1 ล้านบาท ดังนั้น บริษัท ข. จะต้องปันส่วนภาษีซื้อออกก่อนร้อยละ 20 ตามสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวน 2 แสนบาท แล้วจึงนำภาษีซื้อส่วนที่เหลือจากการปันส่วนจำนวน 8 แสนบาท มาเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา (รายได้ของปี 2566 คิดเป็นอัตราส่วน 50 : 50) บริษัท ข จึงมีสิทธินำภาษีซื้อ เฉพาะส่วนที่เฉลี่ยได้ตามส่วนของรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 4 แสนบาท ไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีพฤษภาคม 2567”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.164/2568ฯ)
ข้อ 4 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้เป็นอันยกเลิก
สั่ง ณ วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2542
ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ
อธิบดีกรมสรรพากร