เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่3901/2552 
นายมนตรี ฉัตรพรลือชัยหรือแซ่ฉั่วโจทก์
กรมสรรพากร กับพวกจำเลย
เรื่องงดเบี้ยปรับ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2(6)
พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขาย
อสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 มาตรา 3(6)

โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า บ้านเลขที่ 6/2 ดังกล่าวเป็นของนายส. ซึ่งเป็นพี่ชายของพี่เขยโจทก์ นายส. ซื้อไว้แต่มิได้เข้าอยู่อาศัย ในทะเบียนบ้านไม่มีชื่อผู้ใดอาศัยอยู่ นายส. จึงขอให้โจทก์ย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่บ้านเลขที่ดังกล่าว โดยนายส. ได้ให้ผู้อื่นเช่าบ้านเป็นร้านอาหาร โจทก์ไม่เคยรู้จักผู้เช่าและไม่เคยเห็นหน้ากัน ต่อมาโจทก์ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากนายส. ว่ามีเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ให้หมายเลขโทรศัพท์เพื่อให้ติดต่อกลับไป โจทก์ติดต่อไปจึงรับทราบเรื่องถูกแจ้งประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ และได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เหตุที่โจทก์ไม่ไปพบเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เนื่องจากไม่เคยทราบเรื่องหนังสือเชิญพบ ในวันจดทะเบียนโอนสิทธิและ นิติกรรมอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวโจทก์ได้ชำระภาษีเงินได้และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนไปครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่เข้าใจว่าต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก โดยมีนายส. เบิกความรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเชื่อว่าโจทก์ไม่ทราบเรื่องจำเลยที่ 1 มีหนังสือเชิญพบเพื่อชี้แจงการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ดังนั้นการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามหนังสือเชิญพบของเจ้าพนักงานประเมินจะถือว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ทราบว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะและล่วงเลยกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามมาตรา 3 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากร โดยคำอุทธรณ์ดังกล่าวไม่โต้แย้งว่า การส่งหนังสือแจ้งการประเมินนั้นไม่ถูกต้องและถือเป็นการประเมินที่ไม่ชอบแต่อย่างใด การที่โจทก์ปฏิบัติตามขั้นตอนของบทบัญญัติของกฎหมายโดยอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพียงขอให้พิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ และต่อมาเมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ก็ได้ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ เงินเพิ่ม และภาษีส่วนท้องถิ่นให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นพฤติการณ์แห่งคดีที่แสดงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี นอกจากนี้ยังมีความเห็นของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้พิจารณาสำนวนอุทธรณ์ของโจทก์ได้ทำบันทึกข้อความว่า การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นแบบเสียภาษีธุรกิจเฉพาะภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดน่าจะมีผลมาจากการที่ยังไม่เข้าใจในข้อกฎหมาย และโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษแต่อย่างใด ประกอบกับมีคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 127/2546 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 มอบหมายให้เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งงดเบี้ยปรับภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีบุคคลธรรมดาขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3(6) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2542 ได้ กรณีของโจทก์จึงเห็นควรอนุโลมให้งดเบี้ยปรับภาษีธุรกิจเฉพาะให้ และนาย ส. ได้มาเบิกความรับรองบันทึกข้อความดังกล่าวต่อศาล ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นกรณีที่โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษี เพียงแต่ไม่ทราบว่าตนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องชำระภาษีต่อจำเลยที่ 1 จึงเห็นสมควรงดเบี้ยปรับให้โจทก์ทั้งสิ้น นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น

 

ปรับปรุงล่าสุด: 13-02-2021