เจ้าพนักงานของจำเลยได้ตรวจสอบและประเมินภาษีโดยไปส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้โจทก์ที่บ้านเลขที่ 1454 ซึ่งโจทก์มีสถานภาพเป็นเจ้าบ้าน บ้านเลขที่ดังกล่าวจึงถือเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมาย ของโจทก์ เมื่อไม่พบโจทก์ จึงได้ส่งให้แก่บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว จึงเป็นการส่งที่ชอบตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร และถือว่าโจทก์ได้รับแล้วตามมาตรา 8 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร หากโจทก์ไม่เห็นด้วยต้องอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 3 อัฎฐ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องเป็นกรณีที่โจทก์มิได้อยู่ในประเทศไทยหรือมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากสำนวนการตรวจสอบว่า ก่อนเจ้าพนักงานของจำเลยส่งหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้โจทก์ได้เชิญโจทก์ไปพบเพื่อให้ทราบผลการตรวจสอบภาษี โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบไว้ในบันทึกซึ่งระบุว่า หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับผลการตรวจสอบภาษี โจทก์สามารถโต้แย้งได้ และหากเจ้าพนักงานได้ประเมินภาษีแล้วโจทก์สามารถอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน แสดงว่าโจทก์ทราบว่า ขั้นตอนหลังจากรับทราบผลการตรวจสอบจะมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่เห็นด้วยก็ต้อง อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด โจทก์ยื่นคำร้องต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อขอขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์หลังจากโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถึง 1 ปีเศษ โดยอ้างเหตุผลว่า ไม่ทราบข้อกฎหมายว่า ให้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน เป็นการอ้างว่าโจทก์ไม่รู้ข้อกฎหมาย ข้ออ้างของโจทก์มิใช่กรณีตามกำหนดเวลาดังกล่าวโจทก์มิได้อยู่ในประเทศไทยหรือมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ ตามมาตรา 3 อัฎฐ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสรรพากรไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้วพาะพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ |