เมนูปิด

ข้อ 6

เงินได้จากอสังหาริมทรัพย์

 

1.             เงินได้จากอสังหาริมทรัพย์อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญา ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่

 

2.             ในบทบัญญัติของข้อนี้ คำว่า "อสังหาริมทรัพย์"

 

                (ก)          ในกรณีของประเทศออสเตรเลีย ให้มีความหมายตามที่มีอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศออสเตรเลีย และให้หมายความรวมถึง

 

                               (1)          การเช่าที่ดิน และผลประโยชน์อื่นๆ ในหรือเหนือที่ดินนั้นไม่ว่าจะได้รับการปรับปรุงหรือไม่ และ

 

                              (2)          สิทธิที่จะได้รับชำระตามจำนวนที่เปลี่ยนแปลงได้หรือจำนวนตายตัวเพื่อการใช้หรือสิทธิในการสำรวจหรือการใช้ หรือ ที่เกี่ยวกับการใช้ แร่ธาตุ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นๆ ที่ใช้สังเคราะห์หรือ ใช้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ และ

 

                (ข)          ในกรณีของประเทศไทย หมายถึง อสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายของประเทศไทย และให้หมายความรวมถึง

 

                               (1)          ทรัพย์สินที่เป็นส่วนประกอบของอสังหาริมทรัพย์

 

                               (2)          สิทธิตามบทบัญญัติของกฎหมายทั่วไปเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ดินที่ใช้บังคับ

 

                               (3)          สิทธิเก็บกินในอสังหาริมทรัพย์ และ

 

                               (4)          สิทธิที่จะได้รับชำระตามจำนวนที่เปลี่ยนแปลงได้หรือจำนวนตายตัวเพื่อการใช้หรือสิทธิในการสำรวจหรือใช้ หรือที่เกี่ยวกับการใช้แร่ธาตุ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือสถานที่อื่นๆ ที่ใช้สังเคราะห์หรือใช้ ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ เรือเดินทะเล เรือ และอากาศยาน จะไม่ถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์

 

3.             การเช่าทรัพย์สิน ผลประโยชน์อื่นๆ ในหรือเหนือที่ดิน และสิทธิอื่นๆ ที่กล่าวถึงในอนุวรรคใดๆ ของวรรค 2 ให้ถือว่าตั้งอยู่ในบริเวณที่ดิน เหมืองแร่ บ่อน้ำมันหรือบ่อก๊าซ เหมืองหิน หรือทรัพยากรธรรมชาตินั้นตั้งอยู่ตามกรณี หรือตั้งอยู่ในบริเวณที่การสำรวจนั้นๆ เกิดขึ้น

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 1 ให้ใช้บังคับกับเงินได้ที่ได้รับจากการใช้โดยตรง การให้เช่าหรือการใช้อสังหาริมทรัพย์ในรูปอื่น

 

5.             บทบัญญัติของวรรค 1, 3 และ 4 ให้ใช้บังคับแก่เงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ของวิสาหกิจและเงินได้จากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งใช้ในการให้บริการวิชาชีพด้วย

 

 

ข้อ 7

กำไรจากธุรกิจ

 

1.             กำไรของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้นเว้นไว้แต่ว่าวิสาหกิจนั้นประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง โดยผ่านทางสถานประกอบการถาวร ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ถ้าวิสาหกิจนั้นประกอบธุรกิจดังกล่าวแล้ว กำไรของวิสาหกิจอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่ง แต่ต้องเก็บจากกำไรเพียงเท่าที่พึงถือว่าเป็นของ

 

                (ก)          สถานประกอบการถาวรนั้น หรือ

 

                (ข)          การขายของหรือสินค้าในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายคลึงกับที่ขายผ่านสถานประกอบการถาวรนั้น หรือ กิจกรรมทางธุรกิจอื่นๆ ที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายคลึงกับที่ดำเนินการ ผ่านสถานประกอบการถาวรนั้น ถ้าการขายหรือกิจกรรมทางธุรกิจนั้นได้เกิดขึ้น หรือได้ดำเนินการโดยวิธีที่เห็นได้ว่าเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง

 

2.             ตามบทบัญญัติของวรรค 3 ในกรณีที่วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งโดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งนั้น ในแต่ละรัฐผู้ทำสัญญาให้ถือว่า กำไรเป็นของสถานประกอบการถาวรนั้น ในส่วนที่พึงคาดหวังได้ว่า สถานประกอบการถาวรนั้นจะได้รับ ถ้าสถานประกอบการถาวรนั้นเป็นวิสาหกิจอันแยกต่างหากและประกอบกิจกรรมเช่นเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกัน ภายใต้ภาวะเช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน และติดต่อกันอย่างเป็นอิสระโดยแท้จริงกับวิสาหกิจซึ่งตนเป็นสถานประกอบการถาวรนั้นหรือกับวิสาหกิจอื่นซึ่งตนติดต่อ

 

3.             ในการกำหนดกำไรของสถานประกอบการถาวรจะยอมให้หักค่าใช้จ่ายของวิสาหกิจที่เป็นค่าใช้จ่ายซึ่งมีขึ้นเพื่อความมุ่งหมายของสถานประกอบการถาวรนั้น (รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารและการจัดการทั่วไปที่เกิดขึ้น) และจะสามารถหักออกได้ ถ้าสถานประกอบการถาวรนั้นเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่จ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาที่สถานประกอบการนั้นตั้งอยู่หรือที่อื่น

 

4.             มิให้ถือว่ากำไรใดๆ เป็นของสถานประกอบการถาวรโดยเหตุผลเพียงว่า สถานประกอบการถาวรนั้นซื้อของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจ

 

5.             ถ้าเจ้าหน้าที่ภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาหนึ่งมีข้อมูลในการกำหนดกำไรของสถานประกอบการถาวรไม่เพียงพอ บทบัญญัติใดๆ ในข้อนี้ก็จะไม่มีผลกระทบถึงการใช้กฎหมายใดๆ ของรัฐนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดภาระในการเสียภาษีอากรของบุคคล โดยที่กฎหมายดังกล่าวจะสามารถใช้ควบคู่ไปกับหลักการของบทบัญญัติในข้อนี้ ตราบเท่าที่ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ภาษีอากรมีอยู่

 

6.             ในกรณีที่กำไรรวมถึงเงินได้ประเภทต่างๆ ซึ่งแยกอยู่ในบังคับของข้ออื่นของความตกลงนี้ มิให้บทบัญญัติของข้ออื่นเหล่านั้นถูกกระทบกระเทือนโดยบทบัญญัติของข้อนี้

 

7.             กำไรของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจากการประกอบธุรกิจประกันภัยไม่ว่าในรูปแบบใดๆ ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ทั้งนี้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีอากรของบุคคลใดๆ ที่ประกอบธุรกิจประเภทดังกล่าว และข้อ 24 จะใช้บังคับสำหรับการขจัดภาษีซ้อนที่ถือเสมือนว่ากำไรที่ถูกเก็บภาษีนั้นเป็นของสถานประกอบการถาวรของวิสาหกิจในรัฐที่เรียกเก็บภาษี

 

8.             ในกรณีที่

 

                (ก)          ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เป็นผู้รับผลประโยชน์ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยทางอ้อมผ่านทรัสต์หนึ่งหรือมากกว่านั้นในส่วนแบ่งของกำไรธุรกิจของวิสาหกิจที่ประกอบการในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งโดยคณะกรรมการของ trust estate ที่นอกเหนือไปจาก trust estate ที่ถือเสมือนบริษัท เพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษีอากร และ

 

                (ข)          ในส่วนที่เกี่ยวกับวิสาหกิจนั้นตามหลักการของข้อ 5 คณะกรรมการนี้มีสถานประกอบการถาวรในอีกรัฐหนึ่งนั้น วิสาหกิจที่ประกอบการโดยคณะกรรมการให้ถือว่า เป็นธุรกิจประกอบการในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐนั้น โดยผู้มีถิ่นที่อยู่ผู้นั้น ผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ที่นั้น และส่วนแบ่งกำไรธุรกิจของผู้มีถิ่นที่อยู่ ให้ถือว่าเป็นของสถานประกอบการถาวรนั้น

 

 

ข้อ 8

การเดินเรือและเดินอากาศ

 

1.             เงินได้หรือกำไรจากการดำเนินการทางอากาศยาน ที่ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ให้เก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นเท่านั้น <

 

2.             เงินได้หรือกำไรจากการดำเนินการเดินเรือที่ได้รับโดยผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญารัฐนั้นได้ และอาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งได้เช่นกัน แต่ภาษีที่เรียกเก็บในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้ลดลงเป็นจำนวนเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนภาษีที่จะต้องเสียตามจำนวนเงินได้หรือกำไร ตามบทบัญญัติที่นอกเหนือไปจากบทบัญญัติของวรรคนี้

 

3.             แม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 1 อยู่ เงินได้หรือกำไรดังกล่าวอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ในกรณีที่เงินได้หรือกำไรจากการดำเนินการทางอากาศยาน ระหว่างสถานที่ต่างๆ ภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพียงอย่างเดียว และแม้จะมีบทบัญญัติของวรรค 2 อยู่ เงินได้หรือกำไรดังกล่าวอาจเก็บภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งได้โดยไม่มีการลดหย่อนที่เป็นเงินได้หรือกำไรจากการดำเนินการเดินเรือระหว่างสถานที่ต่างๆ ภายในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นเพียงอย่างเดียว

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 1, 2 และ 3 จะใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับส่วนแบ่งของเงินได้หรือกำไรจากการดำเนินการทางเรือหรือทางอากาศยานที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการเข้ารวมกลุ่ม การร่วมในองค์การที่ดำเนินการขนส่ง หรือการเข้าร่วมในตัวแทนเพื่อดำเนินการระหว่างประเทศ

 

5.             เพื่อความมุ่งประสงค์ของวรรคนี้ กำไรที่ได้รับจากการขนผู้โดยสาร ปศุสัตว์ ไปรษณีย์ภัณฑ์ สิ่งของหรือสินค้าทั้งทางเรือและทางอากาศยานในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเพื่อไปยัง ณ ที่อื่นๆ ในรัฐนั้น ให้ถือว่าเป็นกำไรจากการดำเนินการทางเรือหรือทางอากาศยานระหว่างสถานที่ต่างๆ ในรัฐนั้นเพียงอย่างเดียว

 

 

ข้อ 9

วิสาหกิจในเครือเดียวกัน

 

1.             ในกรณีที่

 

                (ก)          วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเข้าร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมในการจัดการควบคุมหรือร่วมทุนของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือ

 

                (ข)          กลุ่มบุคคลเดียวกันเข้าร่วมโดยตรงหรือโดยทางอ้อมในการจัดการควบคุมหรือร่วมทุนของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง และในแต่ละกรณีได้มีการวางเงื่อนไขที่ใช้บังคับระหว่างวิสาหกิจทั้งสองในด้านความสัมพันธ์ทางด้านการพาณิชย์หรือการเงินซึ่งต่างไปจากเงื่อนไขที่อันพึงมีใช้บังคับระหว่างวิสาหกิจอิสระที่มีความสัมพันธ์อิสระอย่างเต็มที่ซึ่งกันและกัน ดังนั้น กำไรใดๆ ซึ่งควรจะมีแก่วิสาหกิจหนึ่งหากมิได้มีเงื่อนไขเหล่านั้น แต่โดยที่มีเหตุผลดังกล่าว กำไรจึงมิได้เกิดขึ้น อาจรวมเข้าเป็นกำไรของวิสาหกิจนั้นและเก็บภาษีได้ตามนั้น

 

2.             แม้จะมีบทบัญญัติของข้อนี้อยู่ วิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งอาจถูกเรียกเก็บภาษีโดยรัฐนั้น เสมือนว่าข้อนี้ไม่มีผลใช้บังคับตราบเท่าที่ได้เคยปฏิบัติกัน ตามหลักการของข้อนี้

 

3.             กรณีที่กำไรของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งถูกเรียกเก็บภาษีในรัฐนั้นรวมอยู่ในกำไรของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ตามหลักการของวรรค 1 และ 2 และถูกเรียกเก็บภาษีตามนั้น และกำไรที่รวมเข้าไว้นี้เป็นกำไรที่ควรจะเป็นของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้าเงื่อนไขที่ใช้บังคับระหว่างวิสาหกิจ เป็นเงื่อนไขที่ควรจะใช้บังคับระหว่างวิสาหกิจอิสระที่มีความสัมพันธ์อย่างอิสระเต็มที่ซึ่งกันและกัน ดังนั้น รัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกจะต้องทำการปรับปรุงจำนวนภาษีที่เรียกเก็บจากกำไรเหล่านั้นตามความเหมาะสมในรัฐที่กล่าวถึงรัฐแรกในการพิจารณาการปรับปรุงดังกล่าว ควรมีการอ้างถึงบทบัญญัติอื่นๆ ของความตกลงนี้ตามลักษณะที่แท้จริงของเงินได้ และตามวัตถุประสงค์นี้ ผู้มีอำนาจของรัฐผู้ทำสัญญาจะได้ปรึกษาซึ่งกันและกันเท่าที่จำเป็น

 

 

ข้อ 10

เงินปันผล

 

1.             เงินปันผลที่จ่าย โดยบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์ด้านภาษีอากร เป็นเงินปันผลที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ อาจให้เก็บภาษีได้ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น

 

2.             เงินปันผลเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่และตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ถ้าเจ้าของผู้รับประโยชน์ของเงินปันผลนั้นเป็นบริษัทไม่รวมห้างหุ้นส่วน ซึ่งถือหุ้นโดยตรงอยู่อย่างน้อยที่สุดร้อยละ 25 ของทุนของบริษัทก่อน ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกิน

 

                (ก)          ร้อยละ 15 ของจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น ถ้าบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลดำเนินกิจการอุตสาหกรรม

 

                (ข)          ร้อยละ 20 ของจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น ในกรณีอื่น

 

3.             คำว่า "เงินปันผล" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึงเงินได้จากหุ้น และเงินได้อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเงินได้จากหุ้นตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งบริษัทผู้แบ่งสรรเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่

 

4.             บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับ ถ้าบุคคลผู้รับผลประโยชน์ในเงินปันผลเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ซึ่งบริษัทที่จ่ายเงินปันผลนั้นเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่โดยผ่านสถานประกอบการถาวรซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนั้น หรือดำเนินการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระในอีกรัฐหนึ่งนั้นจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น และถือหุ้นในส่วนที่มีการจ่ายเงินปันผลนั้นเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำเช่นว่านั้น ในกรณีเช่นนั้นให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือ ข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี

 

5.             เงินปันผลที่จ่ายโดยบริษัทซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง และเป็นเงินปันผลที่บุคคลผู้ซึ่งมิใช่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ จะได้รับยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ยกเว้นตราบเท่าที่การถือหุ้นในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลนั้น มีส่วนเกี่ยวพันกับสถานประกอบการถาวร หรือ สถานประกอบการประจำที่ตั้งในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติในวรรคนี้จะไม่ใช้บังคับในส่วนของเงินปันผลที่จ่ายโดยบริษัทใดที่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศออสเตรเลียเพื่อวัตถุประสงค์ของภาษีออสเตรเลีย และเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเพื่อวัตถุประสงค์ของภาษีไทย

 

6.             ไม่มีข้อความใดๆ ในความตกลงนี้ที่จะมีความหมายเป็นการขัดขวางรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในการจัดเก็บภาษีกำไรที่ส่งโดยสถานประกอบถาวรของวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรกนั้น

 

7.             คำว่า "กิจการอุตสาหกรรม" หมายถึง

 

                (ก)               กิจการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ

 

                                   (1)          การหัตถกรรม การประกอบและการแปรสภาพ

 

                                   (2)          การก่อสร้าง วิศวกรรมโยธา หรือการต่อเรือ

 

                                   (3)          การผลิตกระแสไฟฟ้า พลังงานจากน้ำ หรือก๊าซ

 

                                   (4)          การส่งน้ำ หรือ

 

                                   (5)          การเกษตร การป่าไม้ หรือการประมง หรือการทำสวน

 

                (ข)          กิจการอื่นใดซึ่งมีสิทธิได้รับสิทธิตามกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมและ

 

                (ค)          กิจการอื่นใดซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทย ประกาศให้เป็นกิจการอุตสาหกรรมเพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้

 

ปรับปรุงล่าสุด: 08-12-2011