ดอกเบี้ย
1. ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ของรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. ดอกเบี้ยเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่ดอกเบี้ยเกิดขึ้น และตามกฎหมายของรัฐนั้น แต่ภาษีที่เรียกเก็บจะต้องไม่เกิน
(ก) ร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยทั้งหมด ถ้าเป็นดอกเบี้ยที่สถาบันการเงิน (รวมทั้งบริษัทประกันภัย) เป็นผู้รับผลประโยชน์ และ
(ข) ในกรณีอื่นๆ ร้อยละ 25 ของดอกเบี้ยทั้งหมด
3. คำว่า "ดอกเบี้ย" ที่ใช้ในข้อนี้รวมทั้งดอกเบี้ยจากหลักทรัพย์รัฐบาล หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ไม่ว่าจะมีหลักประกันจำนองหรือไม่ และไม่ว่าจะมีสิทธิร่วมกันในผลกำไรหรือไม่ และดอกเบี้ยจากการเป็นหนี้ในรูปอื่นๆ รวมทั้งเงินได้อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเงินได้จากเงินให้ยืมตามกฎหมายภาษีอากรของรัฐผู้ทำสัญญาที่เงินได้นั้นเกิดขึ้น
4. บทบัญญัติของวรรค 1 และ 2 จะไม่ใช้บังคับถ้าเจ้าของผลประโยชน์ในดอกเบี้ยเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งที่ดอกเบี้ยนั้นเกิดขึ้นโดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น หรือดำเนินการบริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระในอีกรัฐหนึ่งจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้นและการเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยนั้นเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวร หรือฐานประกอบการประจำดังกล่าวในกรณีเช่นว่านั้น ให้ใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี
5. ดอกเบี้ยจะถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง เมื่อผู้จ่ายคือรัฐนั้นเอง หรือส่วนราชการ หรือองค์การบริหารของรัฐนั้น หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของรัฐนั้น หรือบุคคลซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านภาษีอากรของรัฐ อย่างไรก็ตาม ในกรณีบุคคลที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตามมีสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือนอกรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสอง อันก่อให้เกิดหนี้ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยขึ้น และดอกเบี้ยนั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำ ดอกเบี้ยเช่นว่านี้ให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐซึ่งสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่
6. ในกรณีโดยเหตุผลแห่งความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและผู้รับประโยชน์จากดอกเบี้ย หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น จำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายนั้น เมื่อคำนึงถึงการเป็นหนี้อันเป็นมูลเหตุแห่งการจ่ายดอกเบี้ยแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนซึ่งควรจะได้ตกลงกันระหว่างผู้จ่ายกับเจ้าของผลประโยชน์ หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะเงินจำนวนหลัง ในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของจำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายนั้น ให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ แต่ให้คำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ แห่งความตกลงนี้ด้วย
7. ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนจากเงินงบประมาณราชการของรัฐบาลของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง หรือโดยธนาคารที่ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง
ค่าสิทธิ
1. ค่าสิทธิที่เกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ซึ่งเป็นค่าสิทธิที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์ อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. ค่าสิทธิเช่นว่านั้นอาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งค่าสิทธินั้นเกิดขึ้นและตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญานั้น แต่ภาษีที่เรียกเก็บดังกล่าวจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งหมด
3. คำว่า "ค่าสิทธิ" ที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง การจ่ายหรือการให้เครดิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาหรือไม่ และให้ตีความหรือคำนวณไปถึงการจ่ายหรือการให้เครดิตใดๆ เพื่อ
(ก) การใช้หรือสิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ใดๆ สิทธิบัตร แบบหรือหุ่นจำลอง แผนผัง สูตรลับหรือกรรมวิธีลับ เครื่องหมายการค้าหรือทรัพย์สินหรือสิทธิอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
(ข) การใช้หรือสิทธิในการใช้อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือวิทยาศาสตร์
(ค) การจัดหาให้ซึ่งความรู้หรือข้อสนเทศทางวิทยาศาสตร์ วิชาการ อุตสาหกรรม หรือพาณิชยกรรม
(ง) การจัดหาให้ซึ่งความช่วยเหลือใดๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบและสนับสนุนและทำให้สามารถใช้ประโยชน์หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินหรือสิทธิที่กล่าวถึงในอนุวรรค
(ก) อุปกรณ์ที่กล่าวถึงในอนุวรรค
(ข) หรือความรู้หรือข้อสนเทศที่กล่าวถึงในอนุวรรค (ค)
(จ) การใช้หรือสิทธิในการใช้
(1) ฟิล์มภาพยนตร์
(2) ฟิล์มหรือวิดีโอเทปที่ใช้กับโทรทัศน์ หรือ
(3) เทปที่ใช้สำหรับการกระจายเสียงทางวิทยุ หรือ
(ฉ) การระงับทั้งหมดหรือบางส่วนในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพย์สินหรือสิทธิที่ระบุไว้ในวรรคนี้
4. เงินได้ที่ได้รับจากการจำหน่ายทรัพย์สินหรือสิทธิที่กล่าวถึงในวรรค 3 อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาที่เงินได้นั้นเกิดขึ้นแต่ภาษีที่เรียกเก็บนั้นจะต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนค่าสิทธิทั้งหมด
5. บทบัญญัติของวรรค 1 วรรค 2 และวรรค 4 จะไม่ใช้บังคับถ้าบุคคลผู้ที่รับผลประโยชน์จากค่าสิทธิหรือเงินได้ที่กล่าวถึงในวรรค 4 เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ประกอบธุรกิจในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งซึ่งค่าสิทธิหรือเงินได้นั้นเกิดขึ้น โดยผ่านสถานประกอบการถาวรที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้นหรือประกอบการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้นจากฐานประกอบการประจำที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้นและสิทธิหรือทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับค่าสิทธิหรือเงินได้ที่จ่ายนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องในประการสำคัญกับสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ในกรณีเช่นว่านั้น จะใช้บทบัญญัติของข้อ 7 หรือข้อ 14 บังคับแล้วแต่กรณี
6. ค่าสิทธิและเงินได้ที่กล่าวถึงในวรรค 4 ให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งเมื่อผู้จ่ายคือรัฐผู้ทำสัญญานั้นเอง หรือส่วนราชการ หรือองค์การบริหารของรัฐนั้น หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของรัฐนั้น หรือบุคคลผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในรัฐนั้นเพื่อความมุ่งประสงค์ทางด้านภาษีอากร อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลผู้จ่ายค่าสิทธิหรือเงินได้นั้น ไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือไม่ก็ตาม มีสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งหรือนอกรัฐผู้ทำสัญญาทั้งสองรัฐอันก่อให้เกิดพันธกรณีที่จะต้องจ่ายค่าสิทธิที่เกิดขึ้นและค่าสิทธิหรือเงินได้นั้นตกเป็นภาระแก่สถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้น ค่าสิทธิหรือเงินได้เช่นว่านั้นให้ถือว่าเกิดขึ้นในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำนั้นตั้งอยู่
7. ในกรณีที่เนื่องจากความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผู้จ่ายและบุคคลผู้รับผลประโยชน์จากเงินค่าสิทธิหรือเงินได้ที่กล่าวถึงในวรรค 4 หรือระหว่างบุคคลทั้งสองนั้นกับบุคคลอื่น จำนวนค่าสิทธิหรือเงินได้ที่จ่ายให้กันนั้น เมื่อคำนึงถึงมูลเหตุแห่งการจ่ายแล้ว มีจำนวนเกินกว่าจำนวนที่ควรจะตกลงกันได้ระหว่างผู้จ่ายและบุคคลผู้รับผลประโยชน์หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นว่านั้น บทบัญญัติของข้อนี้จะใช้บังคับเฉพาะกับเงินจำนวนหลังในกรณีเช่นนั้น ส่วนเกินของจำนวนค่าสิทธิหรือเงินได้ที่จ่ายนั้น ให้คงเก็บภาษีได้ตามกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญาแต่ละรัฐ แต่ให้คำนึงถึงบทบัญญัติอื่นๆ ของความตกลงนี้ด้วย
8. เพื่อความมุ่งประสงค์ของข้อนี้ คำว่า "จ่าย" ให้รวมถึงการให้เครดิตด้วย และคำว่า "ผู้จ่าย" และ "บุคคลผู้จะจ่าย" มีความหมายตรงกัน
การจำหน่ายทรัพย์สิน
1. เงินได้หรือผลได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ได้รับจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ตามที่กล่าวถึงในข้อ 6 และตามเงื่อนไขแห่งข้อนั้น ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. เงินได้หรือผลได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินนอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ตามที่กล่าวถึงในข้อ 6 อันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินธุรกิจของสถานประกอบการถาวร ซึ่งวิสาหกิจของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง หรือเกี่ยวข้องกับฐานประกอบการประจำซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐแรกมีอยู่ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง เพื่อความมุ่งประสงค์ในการให้บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ รวมทั้งเงินได้หรือผลได้จากการจำหน่ายของสถานประกอบการเช่นว่านั้น (โดยลำพังหรือรวมกับวิสาหกิจทั้งหมด) หรือของฐานประกอบการประจำเช่นว่านั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
3. เงินได้หรือผลได้จากการจำหน่ายเรือหรืออากาศยานที่ใช้ในการจราจรระหว่างประเทศ หรือทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ที่กล่าวถึงในข้อ 6 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเกี่ยวกับเรือหรืออากาศยานเช่นว่านั้นจะเก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาซึ่งวิสาหกิจผู้ดำเนินการเกี่ยวกับเรือหรืออากาศยานนั้นมีถิ่นที่อยู่
4. เงินได้หรือผลได้ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับจากการจำหน่ายหุ้นหรือผลประโยชน์ที่อาจเทียบเคียงได้ในบริษัท สินทรัพย์ซึ่งประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ตามชนิดที่กล่าวไว้ในข้อ 6 ในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
5. ไม่มีข้อความใดในความตกลงนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อการบังคับใช้ของกฎหมายของรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีผลได้ในรูปของทุนซึ่งได้รับจากการจำหน่ายทรัพย์สินนอกเหนือจากการจำหน่ายทรัพย์สินภายใต้บทบังคับของวรรค 1, 2, 3 และ 4
บริการส่วนบุคคลที่เป็นอิสระ
1. เงินได้ที่บุคคลธรรมดาผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่ง ได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือกิจกรรมอิสระอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้นเว้นแต่ การให้บริการหรือกิจกรรมนั้นได้กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้ามีการให้บริการหรือกิจกรรมดังกล่าว เงินได้ที่ได้รับจากการนั้นอาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติของวรรค 1 เงินได้ที่บุคคลธรรมดาผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับบริการวิชาชีพหรือกิจกรรมอิสระอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันได้กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐแรก ถ้า
(ก) ผู้รับอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น สำหรับระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันแล้วไม่เกิน 183 วันในปีภาษีหรือปีเงินได้ของอีกรัฐหนึ่ง แล้วแต่กรณี
(ข) ผู้รับมิได้มีฐานประกอบการประจำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งเพื่อความมุ่งประสงค์ในการประกอบกิจกรรมของผู้รับ สำหรับระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันเกินกว่า 183 วันในปีนั้น และ
(ค) เงินได้นั้นมิได้นำไปหักในการกำหนดกำไรที่จะต้องเสียภาษีของวิสาหกิจหรือสถานประกอบการถาวรซึ่งตั้งอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
3. คำว่า "บริการวิชาชีพ" ให้รวมถึงการให้บริการในการประกอบกิจกรรมอิสระด้านวิทยาศาสตร์ วรรณกรรม ศิลปะ การศึกษาหรือกิจกรรมทางด้านการสอน รวมทั้งการประกอบกิจกรรมอิสระของแพทย์ ทนายความ วิศวกร สถาปนิก ทันตแพทย์ และนักบัญชี
บริการส่วนบุคคลที่ไม่เป็นอิสระ
1. ภายใต้บทบัญญัติของข้อ 16, 18, 19 และ 20 เงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันที่บุคคลธรรมดาผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับ เนื่องจากการจ้างงานให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐนั้น เว้นไว้แต่ว่าการจ้างงานนั้นได้กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ถ้ามีการจ้างงานในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่งนั้น ค่าตอบแทนที่ได้รับจากการนั้น อาจเก็บภาษีได้ในอีกรัฐหนึ่งนั้น
2. โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติในวรรค 1 ค่าตอบแทนซึ่งบุคคลธรรมดาผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับเนื่องจากการจ้างงาน ที่กระทำในรัฐผู้ทำสัญญาอีกรัฐหนึ่ง ให้เก็บภาษีได้เฉพาะในรัฐผู้ทำสัญญาที่กล่าวถึงรัฐแรก ถ้า
(ก) ผู้รับอยู่ในอีกรัฐหนึ่งนั้นสำหรับระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลารวมกันแล้วไม่เกิน 183 วัน ในปีภาษีหรือปีเงินได้ของรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น แล้วแต่กรณี
(ข) ค่าตอบแทนนั้น จ่ายโดยหรือจ่ายในนามของนายจ้าง ซึ่งมิได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในอีกรัฐหนึ่งและ
(ค) ค่าตอบแทนนั้นมิได้นำไปหักในการกำหนดกำไรที่จะต้องเสียภาษีของสถานประกอบการถาวรหรือฐานประกอบการประจำซึ่งนายจ้างมีอยู่ในรัฐอีกรัฐหนึ่งนั้น
3. โดยไม่ต้องคำนึงถึงบทบัญญัติในวรรคก่อนๆ ของข้อนี้ ค่าตอบแทนที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในรัฐผู้ทำสัญญารัฐหนึ่งได้รับในส่วนที่เกี่ยวกับการจ้างงานในเรือหรืออากาศยานในต่างประเทศที่ดำเนินการในการจราจรระหว่างประเทศ อาจเก็บภาษีได้ในรัฐผู้ทำสัญญานั้น