คำพิพากษาฎีกาที่10701/2555 | |
นายไพรัช เวชวนิชสนอง ที่ 1 นางสาวอัญชลี ชำนาญยนตร์ ที่ 2 นางจิตรลดา ลีลาศิลปะศาสน์ ที่ 3 | โจทก์ |
กรมสรรพากร ที่ 1 นายอรรณพ บัวครื้น ที่ 2 นายภูติ ศรีวัจณะพงษ์ ที่ 3 นายสิทธิชาติ มงคลชาติ ที่ 4 | จำเลย |
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การพิจารณาอุทธรณ์ |
กฎหมายที่เกี่ยวข้องประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (8) มาตรา 31 วรรคสอง |
เมื่อโจทก์ทั้งสามยอมรับแล้วว่า มีเงินได้จากการพนันสลากกินรวบ (หวยใต้ดิน) แม้เงินได้ดังกล่าวจะเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เข้าลักษณะเป็นเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ตามมาตรา 40 (1) ถึง (7) แห่งประมวลรัษฎากร จึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ทั้งสามมีเงินได้พึงประเมินตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินไว้ ดังนั้น ที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า ประกอบกิจการขาดทุนไม่มีเงินได้สุทธิที่จะนำมาคำนวณเป็นเงินภาษีได้ จึงต้องเสียภาษีเงินได้ ในอัตราร้อยละ 0.5 ของเงินได้พึงประเมิน จึงฟังไม่ขึ้น เงินได้พึงประเมินจากการพนันหวยใต้ดินไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ ประกอบกับโจทก์ทั้งสามไม่สามารถพิสูจน์ค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้จึงไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายแก่โจทก์ทั้งสามได้ ส่วนที่โจทก์อ้างข้อ 2.2 ของมติ กพอ. ครั้งที่ 11/2552 ว่า ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเหมาร้อยละ 75 นั้น โจทก์ทั้งสามมิได้นำสืบพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ทั้งสาม ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ตามที่โจทก์อ้าง ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายจากเงินดังกล่าว การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน มิใช่เป็นกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาประเด็นอื่นนอกเหนือจากที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินและผู้อุทธรณ์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่เป็นกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทำการแก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินในส่วนค่าใช้จ่ายให้ถูกต้อง แม้จะมีผลทำให้โจทก์ทั้งสามต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษีพิพาทเพิ่มขึ้นจากที่เจ้าพนักงานได้ประเมินไว้ก็ตาม ทั้งตามมาตรา 31 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ก็บัญญัติว่า ในกรณีที่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียภาษีอากรเพิ่มขึ้น ผู้อุทธรณ์จะต้องชำระภายในกำหนดเวลาเช่นเดียวกับวรรคก่อน ซึ่งกรณีดังกล่าวคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่จำต้องยกเลิกการประเมินเพื่อให้ทำการประเมินใหม่ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
โจทก์ทั้งสามมิได้ให้เหตุผลไว้ชัดแจ้งว่า คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่ลดหรืองดเบี้ยปรับแก่โจทก์ทั้งสามนอกเหนือไปจากที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยลดให้นั้นไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากร และวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ประกอบมาตรา 225 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย |