คำพิพากษาฎีกาที่6924/2555 | |
บริษัท ริมทะเลรีสอร์ท จำกัด | โจทก์ |
กรมสรรพากร | จำเลย |
เรื่อง การอุทธรณ์คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล | |
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากร | |
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 102/25 และเลขที่ 2356 ตำบลบ่อนอก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากนายสนิท ภู่ภิญโญ โดยจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2533 ต่อมาศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาให้โจทก์โอนที่ดินทั้งสองแปลงคืนแก่นายสนิทฯ และวันที่ 3 เมษายน 2541 นายสนิทฯ ได้ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทจากโจทก์ เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า โจทก์ประกอบกิจการให้บริการที่พักโรงแรม โจทก์ซื้อที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อไว้ใช้ในการประกอบกิจการของโจทก์ การที่โจทก์โอนที่ดินทั้งสองแปลงตามคำพิพากษาของศาล จึงเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ใช้ในการประกอบกิจการอันเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรอยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และมิได้ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเดือนภาษีมกราคม และเมษายน 2541 เจ้าพนักงานประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเดือนภาษีดังกล่าว พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์รวม 569,794.- บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ว่า เดิมที่ดินผืนนี้ได้ทำการซื้อขายกันอย่างถูกต้อง และโจทก์ได้ชำระราคาอย่างถูกต้อง ต่อมาหุ้นส่วนของบริษัทเจ้าของที่ดินได้ร้องขอต่อศาลว่า ไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งจากการขายที่ดิน ซึ่งเกิดการโกงกันเองในบริษัทเจ้าของที่ดินเดิม แล้วต่อมาศาลได้มีหมายศาลมา ซึ่งทางโจทก์ไม่ได้รับหมายศาลดังกล่าวนั้นจึงไม่ได้ไปตามที่ศาลนัด ศาลจึงตัดสินให้ผู้ฟ้องชนะ ต่อมา บริษัทเจ้าของที่ดินเดิมได้นำเอกสารของทางศาลบังคับโอนที่ดินกลับให้แก่เจ้าของเดิมโดยโจทก์ไม่ทราบและมาทราบภายหลัง จึงได้ทำการร้องศาลให้พิจารณาใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการนั้น เห็นว่า การประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินรายใดที่โจทก์ไม่เห็นด้วย โจทก์จะต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยจะต้องมีข้อความโต้แย้งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานว่า ประเมินภาษีอากรไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างใด และมีหลักฐานอย่างไร หากคำอุทธรณ์การประเมินของโจทก์ไม่มีข้อความโต้แย้งการประเมินในประเด็นใด โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องในประเด็นนั้นตามมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ที่โจทก์อ้างว่า โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวจากนายสนิทฯ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาที่นายสนิทฯ มีอยู่แก่โจทก์ โจทก์จึงมิได้ชำระเงินค่าที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ นายสนิทฯ ซึ่งต่อมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงคืนให้แก่ นายสนิทฯ เนื่องจากโจทก์ยังไม่ชำระราคาค่าที่ดินนั้น การที่นายสนิทฯ นำคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินกลับคืน จึงไม่เป็นการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์มีไว้ในการประกอบกิจการของโจทก์เพื่อทางค้าหรือหากำไร โดยโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ให้โจทก์เสียภาษีธุรกิจเฉพาะพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มรวม 569,794.- บาท และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ยืนตามการประเมิน จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์มิได้ระบุไว้ในคำอุทธรณ์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงถือได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์ในประเด็นนี้ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะยกประเด็นที่ถือว่า โจทก์ได้สละแล้วมาฟ้องต่อศาลได้อีก ปัญหาตามอุทธรณ์โจทก์มีเพียงข้อเดียวว่า กรณีมีเหตุควรงดหรือลดเบี้ยปรับเงินเพิ่มให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี จึงไม่มีเหตุงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม การที่ศาลภาษีอากรกลางลดเบี้ยปรับให้คง เรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายจึงเป็นคุณแก่โจทก์อย่างยิ่งแล้ว พิพากษายืนแล้ว พิพากษายืน |