เมนูปิด

คำพิพากษาฎีกาที่19206/2556 
นายวิรัตน์ นามเรืองศรีโจทก์
กรมสรรพากร กับพวก รวม 3 คนจำเลย
เรื่อง การยกเว้นรัษฎากร สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องประมวลรัษฎากร มาตรา 4 ทศ กฎกระทรวง ฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ข้อ 1
กฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ข้อ 2 (36) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 195 (พ.ศ.2538) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52) ข้อ 1 (1)
แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151)
ประกาศการประปาส่วนภูมิภาค เรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดประจำปี 2548ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พนักงานการประปาส่วนภูมิภาคที่ได้ปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลานานและมีความประสงค์จะขอออกจากงานก่อนเกษียณอายุได้รับผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจากการประปาส่วนภูมิภาค โดยพนักงานต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในประกาศการประปาส่วนภูมิภาค และต้องยื่นความจำนงขอเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดตามแบบฟอร์มที่กำหนดต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสายงานภายในระยะเวลาที่กำหนด แม้ประกาศการประปาส่วนภูมิภาคดังกล่าวจะทำขึ้นภายหลังข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยการกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน การบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงาน พ.ศ.2522 ลงวันที่ 4 เมษายน 2522 ก็ตาม แต่ประกาศการประปาส่วนภูมิภาคมีลักษณะเป็นการแก้ไขข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาคฯ ข้อ 16 (3) ที่กำหนดให้พนักงานพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุหกสิบปีบริบูรณ์ ประกาศการประปาส่วนภูมิภาคดังกล่าวจึงเป็นข้อบังคับสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเกษียณอายุของพนักงานตามข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาคฯ การลาออกของโจทก์ถือได้ว่าโจทก์ออกจากงานเพราะครบกำหนดหรือสิ้นกำหนดเวลาทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151)ฯ แม้ในข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาคฯ จะไม่มีข้อความใดระบุให้โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดเป็นการเกษียณอายุ อีกทางหนึ่งก็ตาม กรณีของโจทก์มิใช่ออกจากงานเพราะได้รับอนุญาตให้ลาออกตามข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาคฯ ข้อ 16 (2) เมื่อโจทก์มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่โจทก์ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพราะเกษียณอายุ จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ตามมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 1 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า ดอกเบี้ยที่จะให้แก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ให้คิดดังต่อไปนี้ (1) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่ (ข) วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร ถ้าผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับเงินภาษีอากรที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย และข้อ 1 วรรคสอง บัญญัติว่า การคิดดอกเบี้ยตามวรรคหนึ่งให้คิดจนถึงวันที่ลงในหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงิน เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรในวันที่ 25 มิถุนายน 2550 จึงครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรในวันที่ 25 กันยายน 2550 และต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ในวันที่ 26 กันยายน 2550 เป็นต้นไป แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอดอกเบี้ยมาเพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่โจทก์ขอจากเงินค่าภาษีอากรที่โจทก์มีสิทธิได้รับคืน โดยให้เริ่มคิดดอกเบี้ยในวันที่ 26 กันยายน 2550 เป็นต้นไป จนถึงวันที่อธิบดีกรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงินดังกล่าว แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์มีสิทธิได้รับคืน ตามมาตรา 4 ทศ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

 

ปรับปรุงล่าสุด: 15-02-2021