เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0706/587
วันที่: 20 มกราคม 2546
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการเลิกกิจการและชำระบัญชีของบริษัท
ข้อกฎหมาย: มาตรา 27, มาตรา 35, มาตรา 72, มาตรา 74, มาตรา 77/1(8)(ฉ), มาตรา 79/3(5), มาตรา 85/15
ข้อหารือ: บริษัทฯ ขอหารือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีอากร กรณีการเลิกกิจการและชำระบัญชีของบริษัท
ดังนี้
1. ถ้าหากในระยะแรกที่บริษัทเลิกบริษัทคาดว่าจะยื่นงบการเงินและแบบ ภ.ง.ด.50 ได้ทัน
ภายในกำหนดเวลา 150 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก จึงไม่ได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลา
ต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก ซึ่งต่อมาปรากฏว่าเกิน
กำหนดเวลาสามสิบวันแล้วพบว่าไม่สามารถยื่นรายการและเสียภาษีภายในกำหนดเวลา 150 วัน นับแต่
วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก จะต้องดำเนินการอย่างไร และมีความผิดต้องรับโทษหรือไม่
2. ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการจะต้องจัดทำงบกำไรขาดทุนทางภาษีอากรขึ้นมา โดยใช้ราคา
สินทรัพย์ที่มีอยู่ทุกประเภทตามราคาตลาด ตามมาตรา 74(1)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ถือเป็นรายได้
และยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 พร้อมนำส่งภาษี (ถ้ามี) ใช่หรือไม่ ทำให้งบกำไรขาดทุน ทางภาษีอากรจะเป็น
งบกำไรขาดทุนตามที่ปรากฏใน ภ.ง.ด.50 เท่านั้น ซึ่งจะไม่ตรงกับงบกำไร ขาดทุนตามที่
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรอง เนื่องจากงบกำไรขาดทุนที่ผู้สอบ บัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและ
รับรองนั้นสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ ณ วันเลิกยังไม่มีการจำหน่าย ออกไปจริง ความเข้าใจดังกล่าวถูกต้อง
หรือไม่ และกรณีบริษัทเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สินทรัพย์ที่มีอยู่ทุกประเภทต้องตีราคา
ตามราคาตลาดและนำมาคำนวณเสียภาษี มูลค่าเพิ่มถูกต้องหรือไม่
3. เมื่อบริษัทจัดทำงบเลิก ณ วันที่เจ้าพนักงาน (กระทรวงพาณิชย์) รับจดทะเบียนเลิกส่ง
กรมสรรพากรภายในกำหนดเวลา 150 วัน ตามมาตรา 72 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ทรัพย์สินยังไม่ได้จำหน่ายจริง หนี้สินยังไม่ได้ชำระหมด ต้องมีการชำระบัญชีต่อจนสุดท้าย คืนทุน (ตาม
ขั้นตอนของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ดังนี้
(1) งบการเงินโดยเฉพาะงบกำไรขาดทุนที่เกิดจากการชำระบัญชีซึ่งอาจมีกำไรหรือ
ขาดทุนอันเกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์จริง และราคาขายได้จริงอาจแตกต่างจากราคาตลาดที่ได้ตีไว้
ตามมาตรา 74(1)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ในกรณีที่มีกำไรสุทธิ)
ก่อนจะโอนปิดบัญชีกำไรขาดทุนแบ่งให้กับหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น บริษัทจะต้องยื่นงบดุลและแบบ
ภ.ง.ด.50 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมหรือไม่ ถ้ายื่นเป็นงบดุล ณ วันใด และจะต้องเสีย
เงินเพิ่มและเบี้ยปรับหรือไม่
(2) เมื่อชำระบัญชีเสร็จ ซึ่งหมายถึงแบ่งสินทรัพย์คืนผู้เป็นหุ้นส่วนหรือ ผู้ถือหุ้นแล้วต้อง
แจ้งกรมสรรพากรอีกหรือไม่
4. บริษัทได้มีหนังสือแจ้งกระทรวงพาณิชย์ว่าเลิกกิจการตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2543 ซึ่ง
ตรงกับวันสิ้นรอบปีบัญชีตามปกติ จึงได้จัดทำงบวันที่สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2543 โดยระบุ ลงในงบด้วยว่า
ณ วันเลิก และนำส่งกระทรวงพาณิชย์และกรมสรรพากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ปรากฏว่า
บริษัทได้นำมติที่ประชุมของผู้ถือหุ้นที่ให้เลิกบริษัทตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2543 ไปจดทะเบียนเลิกกับ
เจ้าพนักงานผู้รับจดทะเบียนเลิกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 โดยทำ คำชี้แจงสาเหตุของการนำมติ
ที่ประชุมไปจดทะเบียนเลิกช้า กรณีนี้บริษัทยังคงต้องจัดทำงบ ณ วันเลิก (24 กรกฎาคม 2544) ตามที่
ประมวลรัษฎากรกำหนดใช่หรือไม่ และมีความผิดต้องรับโทษหรือไม่
แนววินิจฉัย: 1. กรณีที่บริษัทเลิกกิจการ เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีให้ถือวันที่เจ้าพนักงานรับ
จดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี โดยให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่และ
ความรับผิดร่วมกันในการยื่นรายการและเสียภาษีภายในกำหนดเวลา 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของ
รอบระยะเวลาบัญชี (วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก) ถ้าผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการไม่สามารถยื่น
รายการและเสียภาษีภายในกำหนดเวลาดังกล่าว และไม่ได้ยื่นคำร้องต่ออธิบดีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่
เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการยังคงมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีต่อ
กรมสรรพากร ดังนั้น หากบริษัทไม่ได้ยื่นคำร้องและได้ยื่นรายการพ้นกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด บริษัท
ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสีย ตาม
มาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร และต้องระวางโทษปรับอาญา กรณีไม่ยื่นรายการภายในกำหนดเวลา
ตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีที่บริษัทเลิกกิจการ ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ
ทรัพย์สินที่คงเหลืออยู่ให้ใช้ราคาตลาดตามมาตรา 74 แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีที่บริษัทเป็น
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับสินค้าคงเหลือและ
หรือทรัพย์สินที่บริษัทมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ ตามมาตรา 77/1(8)(ฉ)
แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อเลิกประกอบกิจการหรือแจ้งเลิก
ประกอบกิจการ ตามมาตรา 85/15 แห่งประมวลรัษฎากร โดยมูลค่าของฐานภาษีให้ถือตามราคาตลาด
ในวันเลิกประกอบกิจการ ตามมาตรา 79/3(5) แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิกบริษัทและบริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษี
ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก) แล้ว แม้
บริษัทจะได้เลิกกันแล้วแต่การชำระบัญชียังไม่เสร็จสิ้น ให้ถือว่าบริษัทยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็น
เพื่อการชำระบัญชี ตามมาตรา 1249 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น บริษัทจึงยังมีหน้าที่ยื่น
แบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 พร้อมงบการเงินต่อไปจนกว่าจะได้จดทะเบียนการ
ชำระบัญชีแล้วเสร็จโดยมีรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มตั้งแต่วันถัดจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (วันที่
เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก) และหากบริษัทได้ชำระภาษีไว้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว บริษัทไม่ต้องรับผิด
เสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแต่อย่างใด
สำหรับกรณีที่บริษัทชำระบัญชีแล้วเสร็จ บริษัทจะมีหนังสือแจ้งสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่บริษัทตั้ง
อยู่ว่าบริษัทชำระบัญชีแล้วเสร็จก็ได้
4. กรณีที่บริษัทเลิกกัน ให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน
ทราบการเลิกของบริษัทนั้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่
ปฏิบัติตาม เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้บริษัทเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
และเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีให้ถือวันที่ เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้ายของ
รอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 72 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น หากเจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก
วันที่ 24 กรกฎาคม 2544 ก็ต้องถือวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 เป็นวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
และบริษัทมีหน้าที่ต้องจัดทำงบการเงิน ณ วันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิก (24 กรกฎาคม 2544)
และยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีภายในกำหนดเวลา 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของ
รอบระยะเวลาบัญชี
เลขตู้: 66/32202

 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020