เมนูปิด

เลขที่หนังสือ: กค 0811/13043
วันที่: 4 กันยายน 2541
เรื่อง: ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) ให้กับบริษัทในเครือ
ข้อกฎหมาย: มาตรา 65 ตรี (14)
ข้อหารือ: คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติให้การส่งเสริมแก่ บริษัท ก. จำกัด ผลิต
HardDisk Drive สำหรับคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยเพื่อส่งออก โดยโครงการแรกได้เริ่มเปิด
ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539
บัดนี้ บริษัทฯ ได้มีความประสงค์จะขยายกิจการเพิ่มขึ้นอีกโดยในส่วนขยายจะลงทุนเพิ่มอีก
ประมาณ 7,400 ล้านบาท จ้างคนเพิ่มอีกประมาณ 2,370 คน บริษัทฯ ได้แจ้งว่า นับตั้งแต่เปิด
ดำเนินการมาเมื่อบริษัทฯ ส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่างประเทศ หากเป็นการจำหน่ายตรงให้กับลูกค้าผู้ใช้
สินค้า บริษัทฯ จะส่งค่า Royalty ให้แก่บริษัท A สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ทำวิจัยและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ให้โดยจะชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้แก่กรมสรรพากร หากเป็นการส่งไปจำหน่ายให้แก่
บริษัทในเครือของ A บริษัทฯ ไม่ต้องชำระค่า Royalty
บริษัทฯ ขอทราบว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2542 เป็นต้นไป บริษัทฯ มีความประสงค์จะ
ดำเนินการในเรื่องค่าวิจัยและพัฒนา รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่บริษัท A ที่สหรัฐอเมริกา
เป็นผู้ทำให้ในลักษณะการเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) กับโรงงานอื่น ๆ ในเครือของบริษัท A
ทั่วโลก โดยจะคิดรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้า และจะชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายในการส่งเงิน
ออกให้แก่กรมสรรพากรก่อนด้วย ทั้งนี้ ตามรายละเอียดในหนังสือของบริษัทฯ พอสรุปได้ดังนี้
1. SPT จะเป็นผู้ผลิตเต็มรูปแบบ (ต่างจากผู้รับจ้างผลิต ที่จะตั้งราคาโดยบวกเพิ่มจาก
ราคาต้นทุนตามที่ได้ถือเป็นสมมติฐานในคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขยายโครงการนั้น) และ
ตั้งราคาขายที่ราคาตลาดซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มียอดรายได้ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ของประเทศไทยที่กำหนดว่าผู้ส่งออกจะต้องถือว่าได้ขายสินค้าที่ส่งออก ณ วันที่ส่งของออกจากประเทศ
และจะต้องบันทึกเป็นยอดขายของบริษัทฯ ณ วันส่งออกนั้นด้วย
2. เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ส่งและจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัทในเครือซึ่งตั้งอยู่ ณ
ต่างประเทศ และบริษัทในเครือได้จำหน่ายสินค้าต่อไปยังลูกค้า OEM ดังนี้ ตามระบบวิธีการปฏิบัติของ A
ทั่วโลกจะกำหนดให้บริษัทในเครือเป็นผู้ชำระค่า Royalty ให้แก่บริษัทแม่โดยตรง
นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 A จะเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการคิดและเรียกเก็บ
ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) โดยจะคิด
รวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้าและจะถือปฏิบัติเช่นเดียวกันทั่วโลก
2.1 หน่วยธุรกิจ SSD ของทาง A ซึ่งรวมถึง SPT, โรงงานในประเทศสิงคโปร์,
ประเทศฮังการี,ประเทศจีน และในประเทศสหรัฐอเมริกา จะเข้าร่วมในสัญญา R&D Cost Sharing
ร่วมกัน และร่วมกับหน่วยพัฒนาด้วยหลักการ R&D Cost Sharing นี้ เป็นวิธีที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและ
โรงงานต่าง ๆ ทั่วโลกจะร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนาสินค้า (โดยไม่มี
การบวกกำไรเพิ่มแต่อย่างใด) บนฐานและโดยการปันส่วนที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งปกติจะใช้รายได้ของ
โรงงานเป็นฐานในการคำนวณค่าใช้จ่ายและการปันส่วนและวิธีการสามารถตรวจสอบได้โดยองค์กรอิสระ
เช่น บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี วิธีการดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับตามกฎหมายภาษีของ
ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปโรงงานที่เข้าร่วมหลักการดังกล่าวตกลงที่จะ
ชำระค่าวิจัยและพัฒนารายปีล่วงหน้าและมีสิทธิที่จะใช้ผลการวิจัยและพัฒนา ค่าวิจัยและพัฒนารวมทั้งค่าใช้
ลิขสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะรวมคำนวณเป็นยอดเดียวกันโดยอาจเฉลี่ยให้ชำระเป็น
สัดส่วน ตามกำหนดระยะเวลาเพื่อความสะดวกแก่โรงงานต่าง ๆ ของผู้เข้าร่วมสัญญา cost Sharing
และผู้เข้าร่วมสัญญาสามารถจะบอกเลิกสัญญาได้และยังคงใช้สิทธิได้ตามส่วนจำนวนเงินที่ได้ชำระแล้ว
2.2 ภายใต้ประมวลรัษฎากรฉบับปัจจุบัน การชำระเงินตามระบบ Cost Sharing
จะทำให้บริษัทฯ ต้องชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ดังนี้ จะยังผลให้เกิดจำนวนรายรับของประเทศจาก
ภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนดังนั้น บริษัทฯ จึงจำเป็นที่จะต้องขออนุมัติแก้ไขจากคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุนทั้ง 2 โครงการ เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบใหม่ของการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ด้วย
การดำเนินการชำระเงินในระบบ Cost Sharing จะทำให้ผ่อนคลายปัญหาที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ
ของบริษัทฯ ในประเทศไทย และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ
จะเพิ่มจำนวนรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวดังนั้น จึงขอทราบว่า การดำเนินการดังกล่าวจะถูกต้อง
ตามระเบียบของกรมสรรพากร และควรอนุญาตให้บริษัทฯ ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวได้หรือไม่
แนววินิจฉัย: 1. ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 13/2529 เรื่อง ภาษีเงินได้
กรณีรายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะตามมาตรา 65 ตรี (14) แห่งประมวลรัษฎากร
ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2529 วินิจฉัยว่า ในกรณีที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นของบริษัท หรือ
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศใด ให้ความช่วยเหลือหรือให้บริการแก่สาขาที่ตั้ง
อยู่ในประเทศต่าง ๆ หลายแหล่งรวมทั้งในประเทศไทยด้วย และได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สำนักงานใหญ่
หรือสาขาอื่นได้จ่ายไปเพื่อการดังกล่าวไปยังสาขาต่าง ๆ นั้น
รายจ่ายที่สาขาในประเทศไทยของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย
ของต่างประเทศได้จ่ายไปให้สำนักงานใหญ่ หรือสาขาอื่นในต่างประเทศเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการให้
ความช่วยเหลือการให้บริการแก่กิจการของสาขาในประเทศไทย ที่จะนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณ
กำไรสุทธิ และไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (14) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น
จะต้องเป็นกรณีที่มีหลักฐานชัดแจ้งว่ารายจ่ายดังกล่าว เป็นรายจ่ายที่จ่ายไปโดยเป็นรายจ่ายที่มีลักษณะดัง
ต่อไปนี้
(1) รายจ่ายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือหรือให้บริการของสำนักงานใหญ่ หรือ
สาขาอื่นนั้นเกี่ยวกับกิจการของสาขาในประเทศไทย
(2) รายจ่ายเกี่ยวกับการค้นคว้าและพัฒนา (Research and Development) โดย
สาขาในประเทศไทยจะต้องได้รับบริการหรือได้นำผลการค้นคว้าและพัฒนามาใช้ประโยชน์ในกิจการของ
สาขาในประเทศไทยตามความเป็นจริง
(3) รายจ่ายใด ถ้าสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นได้นำไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณ
กำไรสุทธิของสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นแล้ว จะนำมาถือเป็นรายจ่ายของสาขาในประเทศอีกไม่ได้
(4) รายจ่ายที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นเรียกเก็บมายังสาขาในประเทศไทย จะต้อง
มีหลักเกณฑ์และวิธีการแบบที่รับรองทั่วไป (Generally Accepted) และต้องถือปฏิบัติเช่นเดียวกับ
สาขาในประเทศอื่น และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
(5) รายจ่ายดังกล่าวจะต้องมิใช่รายจ่ายของสำนักงานใหญ่ หรือสาขาอื่นโดยเฉพาะ
เช่น ค่าเช่าที่ทำการ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเครื่องเขียน เครื่องใช้ ค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของ
เครื่องมือเครื่องใช้
จำนวนเงิน หลักเกณฑ์ และวิธีการดังกล่าวข้างต้นที่จะนำมาถือเป็นรายจ่ายของสาขา
ในประเทศไทยได้จะต้องมีหลักฐานหรือหนังสือรับรองโดยเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
หรือโดยบุคคลอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรเชื่อถือได้ และหลักฐานหรือหนังสือดังกล่าว จะต้องมีรายละเอียด
เพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าเป็นรายจ่ายที่จำเป็น และสมควรแก่การดำเนินการธุรกิจของสาขาใน
ประเทศไทยตามความเป็นจริง
2. ดังนั้น การเฉลี่ยค่าใช้จ่าย (Cost Sharing) กับโรงงานอื่น ๆ ในเครือของบริษัท
A ทั่วโลก ตามที่บริษัทฯ ขอมา หากเข้าเงื่อนไขทำนองเดียวกับที่กล่าวใน 1. ก็อนุมัติให้ดำเนินการได้
เลขตู้: 61/27054

 


 

 

ปรับปรุงล่าสุด: 22-05-2020